วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดตัว Data Gif Maker เครื่องมือสร้างภาพเคลื่อนไหวเปรียบเทียบข้อมูล


          Google เปิดตัวเครื่องมือใหม่ชื่อว่า Data Gif Maker ที่สามารถสร้างภาพเคลื่อนไหวแสดงการเปรียบเทียบข้อมูลสองตัวได้ ซึ่งจะช่วยให้การนำเสนอข้อมูลจำพวกแบบสำรวจหรือคะแนนภาพยนต์มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น


          วิธีใช้งานก็ง่าย ๆ เพียงแค่ใส่หัวข้อหรือประเด็นที่ต้องการจะเปรียบเทียบสองหัวข้อ จากนั้นก็ใส่คะแนนของหัวข้อลงไปทั้งสองฝั่ง (สามารถเลือกได้ว่าจะเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์หรือตัวเลข) ถ้าคะแนนของแต่ละหัวข้อที่จะเปรียบเทียบมีหลายคะแนนก็ให้คั่นด้วยเครื่องหมายลูกน้ำ โดยเราสามารถเลือกสีให้แต่ละหัวข้อและระบุได้ว่าเปรียบเทียบหัวข้อจากอะไร (เราสามารถค้นหาคะแนนของหัวข้อได้จาก Google Trends explore ซึ่งเป็นเครื่องมือของ Google ที่แสดงสถิติการค้นหา) เมื่อเรากำหนดค่าต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็สั่งให้แสดงสร้างภาพเคลื่อนไหว หรือจะเซฟผลการเปรียบเทียบออกมาเป็นไฟล์ GIF เพื่อนำไปเผยแพร่ต่อก็ได้


          เครื่องมือตัวนี้จะช่วยเพิ่มลูกเล่นและสร้างการเคลื่อนไหวให้กับข้อมูลการเปรียบเทียบ ซึ่งจะทำให้การนำเสนอข้อมูลของสื่อต่าง ๆ มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น


ที่มา: Blog Google


วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

การอดนอนเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน


          การนอนหลับคือสภาวะที่ร่างกายตัดการรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งระหว่างที่นอนหลับอยู่ร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนที่ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรืออวัยวะที่สึกหรอและปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายอีกด้วย แต่การใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่มีแต่การเร่งรีบทำให้เกิดความเครียดในด้านต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้คุณภาพของการนอนหลับลดลง

          จากงานวิจัยพบว่าการนอนน้อยส่งผลต่อเผาผลาญพลังงานทำให้เราเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน โดยการนอนไม่พอนั้นจะมีผลต่อความอยากอาหารและการออกกำลังกาย

          ด็อกเตอร์ Christian Benedict จากมหาวิทยาลัย Uppsala University ประเทศสวีเดนและกลุ่มของเขาได้ทำการศึกษาว่าการอดนอนมีผลต่อการเผาผลาญพลังงานอย่างไร โดยการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการอดนอนจะไปเปลี่ยนแปลงสมดุลของฮอร์โมนตั้งแต่ฮอร์โมนที่ทำให้อิ่ม เช่น ฮอร์โมน GLP-1 (glucagon-like Peptide-1) ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไปจนถึงฮอร์โมนที่ทำให้หิว เช่น ฮอร์โมน Ghrelin

          นอกจากนี้การอดนอนยังไปเพิ่มระดับของ Endocannabinoids ที่ส่งผลให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น ลดการตอบสนองของอินซูลิน และรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบเผาผลาญอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดดังที่ได้กล่าวมานั้นคือสาเหตุที่ทำให้เราเป็นโรคอ้วน ดังนั้นถ้าไม่อยากเป็นโรคอ้วน เรามาพักผ่อนให้เพียงพอกันเถอะ (บอกตัวเอง ฮา)


ที่มา: Alphagalileo

แบคทีเรียในลำไส้สามารถสั่งสมองสัตว์ให้เลือกกินได้


          แบคทีเรียมีอยู่ทุกที่บนร่างกายของเรา มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ถ้าลองนับจำนวนเซลล์ของแบคทีเรียในร่างกายแล้วจะพบว่ามีเซลล์แบคทีเรียมากถึง 100 ล้านล้านเซลล์เลยทีเดียว ในขณะที่มนุษย์เรามีจำนวนเซลล์เพียง 10 - 30 ล้านล้านเซลล์เท่านั้น ซึ่งแบคทีเรียจำนวนมากมายมหาศาลนั้นก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในร่างกายเราอย่างเปล่าประโยชน์ อย่างสำนวนที่ว่า "อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" แบคทีเรียเองก็มีปฏิสัมพันธ์และก่อให้เกิดส่งผลกระทบต่อร่างกายในระดับที่สามารถทำให้เราป่วยได้เลยทีเดียว (เช่น ทำให้เราติดเชื้อ)

          นักประสาทวิทยาได้ค้นพบว่าแบคทีเรียในลำไส้สามารถสื่อสารกับกับสมองเพื่อควบคุมสัตว์ในการเลือกอาหารได้ โดยนักวิจัยระบุว่ามีแบคทีเรียสองชนิดที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคอาหารของสัตว์ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้นำโดยคุณ Carlos Ribeiro วิจัยร่วมกับเพื่อนร่วมงานจาก Champalimaud Centre for the Unknown ใน Lisbon ประเทศโปรตุเกสและมหาวิทยาลัย Monash University ประเทศออสเตรเลีย

          จากงานวิจัยที่ได้ทำการศึกษาแมลงหวี่ (Drosophila melanogaster) ทำให้นักวิจัยสามารถจำแนกปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของอาหารและจุลินทรีย์ซึ่งส่งผลต่อความต้องการอาหารของแมลงได้ โดยแมลงหวี่ที่ขาดกรดอะมิโนจะมีสืบพันธุ์น้อยลงและมีความต้องการอาหารจำพวกโปรตีนมากขึ้น

          นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังได้ทดสอบผลกระทบต่อการเลือกอาหารของแบคทีเรีย 5 ชนิดที่อยู่ในลำไส้ของแมลงหวี่ป่า แล้วพบว่ามีแบคทีเรียพิเศษสองชนิดที่สามารถลดความอยากอาหารจำพวกโปรตีนในแมลงหวี่ที่ขาดกรดอะมิโนได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะแบคทีเรียเหล่านี้ทำการเผาผลาญอาหารแล้วได้พลังงานคล้ายกับที่ได้จากการเผาผลาญโปรตีน สมองกับร่างกายจึงเข้าใจว่าได้รับโปรตีนเพียงพอแล้วเลยทำให้ลดความอยากอาหารจำพวกโปรตีนลง

          ผลจากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าแบคทีเรียในลำไส้มีผลต่อสมองในการเปลี่ยนแปลงอาหารที่สัตว์ต้องการจะกิน และเนื่องจากในแมลงหวี่มีแบคทีเรียหลัก ๆ อยู่ 5 สายพันธุ์ แต่ในมนุษย์มีแบคทีเรียอยู่หลายร้อยสายพันธุ์ ดังนั้นในร่างกายของมนุษย์เราก็อาจจะมีกลไกแบบเดียวกันด้วย


ที่มา: Neurosciencenews


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Google เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์การตลาดด้วย AI


          การแพร่หลายของสมาร์ทโฟนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกของการโฆษณาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราหันมาใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ กันมากขึ้น การโฆษณาจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้นตาม

          ในงาน Google I/O 2017 ที่ผ่านมา (สรุป Keynote ในงาน Google I/O 2017) ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่าทาง Google ได้หันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี AI โดยการผนวก AI เข้าไปในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำให้เกิดฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ขึ้นมากมาย ซึ่งทาง Google ยังนำ AI มาใช้ช่วยวิเคราะห์การตลาดเพื่อวัดผลการโฆษณาและช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตทางธุรกิจให้กับองค์กร

          Google Attribution ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยวัดประสิทธิภาพในการทำการตลาดว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยการนำข้อมูลจาก AdWords, DoubleClick Search และ Google Analytics มาใช้ในการวิเคราะห์ร่วมกันและสรุปออกมาเป็นประสิทธิภาพในการโฆษณาว่าได้ผลลัพธ์ดีหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ Google Attribution ยังอยู่ในช่วงทดสอบ และจะเปิดให้ผู้ลงโฆษณาใช้งานในอีกไม่กี่เดือนถัดไป

          แม้ว่าผู้ใช้งานจะหาสินค้าจากอินเตอร์เน็ตด้วยสมาร์ทโฟน แต่ส่วนใหญ่มักจบลงด้วยการไปซื้อสินค้าที่ร้านค้า โดยทาง Google ได้ปรับปรุงโมเดล deep learning เพื่อให้สามารถเทรนข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยวัดการเข้าร้าน (Store visits measurement) ของร้านค้าจากระบบ Search, Shopping และ Display นอกจากนี้ Google ยังมีแผนจะนำระบบวัดการเข้าร้านไปใช้กับ YouTube TrueView เพื่อวัดประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าจากวิดีโอโฆษณา

          ระบบวัดการเข้าร้านเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการช่วยให้ธุรกิจเติบโต อีกสิ่งที่เราต้องการทราบคือโฆษณาที่เราลงไปนั้นสามารถสร้างรายได้กลับมาหรือเปล่า ดังนั้น Google จึงมีแผนจะใช้ระบบวัดการขายภายในร้านในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อให้เราสามารถวัดรายได้ภายในร้านได้นอกเหนือจากการเข้าชมร้านค้าโดยการโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ

          สุดท้ายคือการปรับปรุง Search Ads ด้วยการเทคโนโลยี AI เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงผู้ที่พร้อมจะขายผลิตภัณฑ์และบริการตามที่ผู้ซื้อค้นหา


ที่มา: Blog Google


Google เพิ่มฟีเจอร์แบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ในครอบครัว


          ครอบครัวแบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ให้กันและกันไม่ว่าจะเป็นอาหาร, การพูดคุย, อ้อมกอด สิ่งเหล่านี้ทำให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นแฟ้นกันมากขึ้น Google ซึ่งให้ความสำคัญของการแบ่งปันจึงได้เพิ่มฟีเจอร์แชร์ที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับคนสำคัญในครอบครัวและแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันได้ง่ายขึ้น โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ลงในแอปพลิเคชันดังต่อนี้


Youtube TV: เพิ่มจำนวนสมาชิกในครอบครัวให้เข้าถึง cloud DVR ได้มากสูงสุดถึง 6 คนในราคา 35 ดอลลาร์ต่อเดือน (ประมาณ 1,200 บาท) และรองรับการถ่ายทอดสดทีวีจาก ABC, CBS, FOX, NBC และเครือข่ายเคเบิลทีวีอื่น ๆ อ่านเพิ่มเติม












Google Calendar: แบ่งปันปฏิทินให้กับสมาชิกในครอบครัว ทำให้เราติดตามกิจกรรมของครอบครัวได้ง่ายขึ้น อ่านเพิ่มเติม









Google Keep: แบ่งปันบันทึกย่อ รายการ หรือการแจ้งเตือนที่บันทึกไว้ให้สมาชิกในครอบครัว อ่านเพิ่มเติม











Google Photos: ส่งรูปถ่ายหรือคลิปวิดีโอที่เก็บความทรงจำร่วมกันไปให้สมาชิกในครอบครัวด้วยการกดไม่กี่ครั้ง อ่านเพิ่มเติม
















          ผู้ใช้สามารถ สร้างกลุ่มครอบครัว ที่มีจำนวนสมาชิกในครอบครัวสูงสุด 6 คนเพื่อใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวได้ โดยฟีเจอร์ของ Youtube TV สามารถใช้งานได้เฉพาะในประเทศที่ Youtube TV เปิดให้ใช้บริการเท่านั้น ส่วนฟีเจอร์ของ Google Calendar, Google Keep, และ Google Photos ตอนนี้สามารถใช้งานได้เฉพาะในประเทศออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก, นิวซีแลนด์, รัสเซีย, สเปน, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ซึ่งก็หวังว่าในอนาคต Google จะเปิดให้ใช้ฟีเจอร์นี้ในไทยในเร็ว ๆ นี้


ที่มา: Blog Google


วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประโยชน์ของความเศร้า


          มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย แต่ในบรรดาอารมณ์ทั้งหมด ความรู้สึกเชิงลบกลับมีมากกว่าความรู้สึกเชิงบวกเสียอีก ซึ่งเราก็คงไม่ค่อยอยากจะรู้สึกถึงอารมณ์ด้านลบกันสักเท่าไหร่ งั้นทำไมอารมณ์เหล่านั้นถึงได้ผ่านการคัดเลือกให้อยู่คู่กับมนุษย์เราล่ะ ธรรมชาติจะคัดเลือกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ดังนั้นความรู้สึกเชิงลบก็น่าจะมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตเหมือนกัน

          มีการค้นพบว่าอารมณ์ไม่ดีแบบชั่วคราวที่ไม่รุนแรงอาจเป็นประโยชน์ในการปรับตัวให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายในชีวิตประจำวัน หรือช่วยให้ตัวเองหลุดจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ (เมื่อเรารู้สึกเศร้าหรือมีอารมณ์ไม่ดี คนรอบข้างก็จะเป็นกังวลและมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือเรา) นอกจากนี้ความเศร้าและความคิดถึงยังอาจเป็นแรงจูงใจให้ก้าวไปยังอนาคต หรือเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอีกด้วย

          จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า อารมณ์ในเชิงบวก (เช่น รู้สึกมีความสุข) เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสถานการณ์ที่คุ้นเคยและปลอดภัย ซึ่งจะทำให้เราใส่ใจรายละเอียดน้อยลง ในทางตรงกันข้ามอารมณ์ในเชิงลบแบบไม่รุนแรงจะช่วยให้เรามีสมาธิในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น และยังมีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • จำได้ดีขึ้น: อารมณ์ไม่ดีช่วยลดผลกระทบจากการรบกวนต่าง ๆ เช่น การหลุดจากประเด็น ข้อมูลที่ผิดพลาด ทำให้ผู้คนจดจำรายละเอียดได้ดีขึ้น
  • ตัดสินได้ถูกต้องมากขึ้น: อารมณ์ไม่ดีที่ไม่รุนแรงช่วยลดความอคติในตัวผู้คน ลดความกระปรี้กระเปร่า และเพิ่มความสงสัย ทำให้ตรวจจับการโกหกได้ดีขึ้น
  • มีแรงจูงใจ: เมื่อถูกขอให้ทำภารกิจยากลำบาก ผู้ที่อารมณ์ไม่ดีจะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
  • การสื่อสารดีขึ้น: การคิดที่ใส่ใจรายละเอียดจะช่วยปรับปรุงการสื่อสาร โดยคนที่มีอารมณ์เศร้าสามารถพูดให้ผู้อื่นเข้าใจข้อความประโยคที่คลุมเครือได้ดีขึ้น

          แม้ว่าความรู้สึกเศร้าหรืออารมณ์ที่ไม่ดีจะช่วยให้เราสามารถมุ่งความสนใจไปยังสถานการณ์ที่พบได้ดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบและตอบสนองต่อสถานการณ์ให้มากขึ้น แต่อารมณ์ในด้านลบที่มากเกินไปก็ยังจะส่งผลเสียต่อร่างกายอีกด้วย เช่น ความเศร้าที่รุนแรงและยั่งยืนของสภาวะซึมเศร้าจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม เป็นต้น



ที่มา: Sciencealert


วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราหยุดออกกำลังกายไป 2 สัปดาห์


          การกินอาหารที่ดีจะส่งเสริมให้เรามีสุขภาพที่ดี ดั่งเช่นคำกล่าวที่ว่า You are what you eat (เรากินอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น) แต่ถ้าเราต้องการมีร่างกายที่แข็งแรงก็จำเป็นต้องออกกำลังกาย กลไกการสร้างให้ร่างกายแข็งแรง อันดับแรกเราต้องออกกำลังกายเพื่อทำลายกล้ามเนื้อก่อน พอเรานอนหลับ ร่างกายก็จะนำสารอาหารที่เรากินเข้าไปมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งร่างกายของเราฉลาด เพราะไม่ใช่แค่ซ่อมแซมให้กลับมาดีเหมือนเดิม แต่ยังเสริมสร้างให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าเก่า

          คำถามสำคัญคือเราต้องออกกำลังกายบ่อยแค่ไหนถึงจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง ซึ่งก็โชคร้ายหน่อยที่คำตอบคือตลอดชีวิตครับ เพราะจากงานวิจัยพบว่าเพียงแค่เราหยุดออกกำลังกายไปสองสัปดาห์ ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อและระบบเผาผลาญอาหารซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหัวใจ

          ในการศึกษาของมหาวิทยาลัย University of Liverpool ที่เกี่ยวกับผลกระทบของคนที่หยุดออกกำลังกายสองสัปดาห์ นักวิจัยได้คัดเลือกผู้ชายและผู้หญิงจำนวน 28 คน ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 25 ​​ปี และไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่เดินประมาณ 10,000 ก้าวต่อวัน โดยผู้เข้าร่วมมีดัชนีมวลกายเฉลี่ยอยู่ที่ 25 ซึ่งถือเป็นเส้นแบ่งระหว่างคนน้ำหนักปกติกับคนน้ำหนักเกิน

          นักวิจัยได้วัดมวลไขมัน, มวลกล้ามเนื้อ, ความสามารถในการผลิตพลังงานของไมโทคอนเดรีย และสมรรถภาพทางกาย จากนั้นก็ให้ผู้เข้าร่วมสวม Activity Trackers เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และให้ลดกิจกรรมประจำวันลงกว่า 80% (หรือประมาณ 1,500 ก้าวต่อวัน) โดยที่ยังให้กินอาหารเหมือนปกติ

          หลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์ก็วัดร่างกายผู้ทดสอบอีกครั้งแล้วพบว่าน้ำหนักของผู้ทดสอบเพิ่มขึ้น มวลกล้ามเนื้อลดลง มีไขมันเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะบริเวณช่องท้องซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ อีกเล็กน้อย เช่น วิ่งได้นานน้อยลง, การตอบสนองของอินซูลินลดลง (ทำให้นำพาน้ำตาลออกจากกระแสเลือดได้น้อยลง), มีไขมันสะสมในตับมากขึ้น และไตรกลีเซอไรด์ (ไขมันในเส้นเลือด) เพิ่มขึ้น

          แม้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเรายังคงดำเนินกิจกรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้สะสมมากขึ้นและก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและโรคเบาหวานประเภท 2 ตามมา นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงในร่างกายดังกล่าวเกิดขึ้นในวัยรุ่นที่มีสุขภาพแข็งแรง แล้วถ้าไปเกิดในผู้สูงวัยที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงละ..... ผลที่ตามคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

           หลังจากการศึกษา เมื่อผู้เข้าร่วมกลับไปทำกิจกรรมตามปกติหลัง สุขภาพร่างกายของพวกเขาก็กลับสู่ภาวะปกติภายใน 2 สัปดาห์ต่อมา แสดงให้เห็นว่าร่างกายของมนุษย์เรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเพียงหนึ่งเดียวของเรายังคงแข็งแรงต่อไป


ที่มา: Time


การเดิน 15,000 ก้าวต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ


          การเดินถือเป็นการออกกำลังกายอย่างง่ายที่สุดที่ทุกคนสามารถทำได้ทุกวัน ซึ่งทุกวันนี้มีเทคโนโลยีมากมายที่ถูกคิดค้นออกมาอำนวยความสะดวกทำให้เราก้าวเดินน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นบันไดเลื่อน ลิฟต์ ทางเดินเลื่อน ฯลฯ แต่จากการงานวิจัยพบว่าการเดิน 10,000 ก้าวต่อวันยังไม่เพียงพอ ต้องก้าวเดินมากถึง 15,000 ก้าวในหนึ่งวันถึงจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ

          นักวิจัยในสหราชอาณาจักรได้คัดเลือกพนักงานไปรษณีย์ชาวสกอตแลนด์จำนวน 111 คนที่มีการออกกำลังกายแตกต่างกัน บางคนทำงานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ บางคนก็ออกไปเดินส่งจดหมาย โดยอาสาสมัครทุกคนจะได้รับการประเมินปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยการวัดระดับน้ำตาลในเลือด, คอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, ความดันโลหิต, รอบเอว และค่าดัชนีมวลกาย จากนั้นก็ให้ผู้เข้าร่วมสวมใส่ Activity Trackers ตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลา 7 วัน

          ผลจากการศึกษาพบว่าพนักงานไปรษณีย์ที่นั่งอยู่กับโต๊ะตลอดทั้งวันส่วนใหญ่จะมีรอบเอวขนาดใหญ่, ไตรกลีเซอไรด์สูง (มีไขมันในเลือด) และ HDL (ไขมันดี) ต่ำ ในทางกลับกันพนักงานไปรษณีย์ที่ออกไปส่งจดหมายซึ่งใช้เวลาในการเดินมากจะมีขนาดรอบเอวเล็ก, ไตรกลีเซอไรด์น้อย และ HDL (ไขมันดี) สูง ซึ่งพนักงานที่เดิน 15,000 ก้าวต่อวัน (หรือเดินมากกว่า 7 ชั่วโมงในหนึ่งวัน) จะมีผลการตรวจที่ดีที่สุดคือมีการเผาผลาญเป็นปกติและไม่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

          ในอดีต มนุษย์เราถือว่าเป็นนักล่า (ถึงแม้จะอ่อนแอ แต่ก็รู้จักใช้อาวุธเป็นเขี้ยวเล็บ) ที่จะต้องก้าวเดินเป็นจำนวนมากในแต่ละวันเพื่อออกล่าสัตว์หรือเก็บของป่ามาทำเป็นอาหาร แต่พอวิถีชีวิตเปลี่ยนไป การเดิน 15,000 ก้าวต่อวันก็อาจจะทำได้ยากในชีวิตประจำวันของพนักงานบริษัทอย่างเรา ๆ ซึ่งเราก็ยังสามารถเพิ่มจำนวนก้าวเดินได้จากการลดการใช้บันไดเลื่อนหรือลิฟต์ (ในกรณีที่ไม่ต้องขึ้นชั้นสูง ๆ หน่ะนะ) หรือเดินออกไปกินอาหารกลางวันให้ไกลกว่าเดิม .....ขยับกายวันละนิด ชีวิตห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นะฮ้าฟ



ที่มา: Health


วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เพิ่มความปลอดภัยในอุปกรณ์แอนดรอยด์ด้วย Google Play Protect และ Android O


          ความปลอดภัยในสมาร์โฟนถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าสมาร์ทโฟนจะดีเลิศเลออัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง แต่ถ้าไม่มีการรักษาความปลอดภัยเลยก็อาจถูกขโมยข้อมูลได้โดยง่าย และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัย Google ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่ของระบบรักษาความปลอดภัยในงาน Google I/O 2017 ที่ผ่านมา (อ่านสรุป Keynote ภายในงาน)


          แอนดรอยด์ถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยระดับองค์กร ซึ่งนอกจากทาง Google จะมีการสแกนตรวจสอบแอปพลิเคชันจำนวน 5 หมื่นล้านแอปพลิเคชันต่อวันแล้ว Google ยังเปิดตัว Google Play Protect ที่เป็นบริการรักษาความปลอดภัยซึ่งพร้อมใช้งานตลอดเวลา รวมไปถึงฟีเจอร์ด้านการรักษาความปลอดภัยและการจัดการใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน Android O ซึ่งจะช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน

 
          Google Play Protect มีอยู่ในอุปกรณ์แอนดรอยด์ทุกเครื่องที่มี Google Play ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี AI ล่าสุดในการตรวจสอบเพื่อระบุแอปพลิเคชันที่เป็นภัยคุกคามและทำการลบออกโดยอัตโนมัติ โดยระบบนี้จะทำการตรวจสอบแอปพลิเคชันใน Google Play แล้วยังตรวจสอบแอปพลิเคชันในอุปกรณ์ของเรา (ซึ่งรวมไปถึงแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่รู้จัก) ให้อีกด้วย


ที่มา: Blog Google

Google ประกาศชื่อสุดยอดแอปพลิเคชันของ Google Play Awards ปี 2560


          ก่อนหน้างาน Google I/O ที่เพิ่งจบไปได้ไม่นาน (อ่านสรุป Keynote ภายในงาน) Google ได้ประกาศรายชื่อแอปพลิเคชันที่เข้ารอบสุดท้ายของการประกวด Google Play Awards ประจำปี 2560 และในวันสุดท้ายของงาน Google I/O ก็ได้มีการประกาศผลแอปพลิเคชันคุณภาพสูงจากแอปพลิเคชัน 85 พันล้านรายการที่ถูกดาวน์โหลดใน Google Play .....เรามาดูกันดีกว่าว่าในแต่ละหมวดหมู่มีแอปพลิเคชันอะไรที่ชนะในปีนี้บ้าง

Standout Indie

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.untame.mushroom11
Mushroom 11 (175 บาท)

Standout Startup

https://play.google.com/store/apps/details?id=tv.telepathic.hooked
HOOKED - Chat Stories (ฟรี)

Best Android Wear

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.runtastic.android

Best TV Experience

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.nousguide.android.rbtv
Red Bull TV (ฟรี)

Best VR Experience

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.TenderClaws.VVR
Virtual Virtual Reality (325 บาท)

Best AR Experience

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.Funomena.TangoWoorld
WOORLD (ฟรี)

Best App for Kids

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.WildWorks.AnimalJamPlayWild

Best Multiplayer Game

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.blizzard.wtcg.hearthstone
Hearthstone (ฟรี)

Best App

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.memrise.android.memrisecompanion

Best Game

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.kabam.bigrobot

Best Accessibility

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.ifttt.ifttt
IFTTT (ฟรี)

Best Social Impact

https://play.google.com/store/apps/details?id=org.sharethemeal.app


          เป็นยังไงบ้างครับ เพื่อน ๆ เคยใช้แอปพลิเคชันไหนกันบ้างเอ่ย Google แนะนำมาแบบนี้ต้องลองดาวน์โหลดมาใช้ดูแล้วล่ะ


ที่มา: Blog Google

Google เตรียมอัปเดต VR และ AR


          Google กล่าวถึง VR และ AR ในช่วงเปิดตัว Keynote ของงาน Google I/O 2017 ที่ผ่านมา (อ่านสรุป Keynote ภายในงาน) แม้จะยังไม่มีข้อมูลมากเหมือนอย่างหัวข้ออื่น แต่ทาง Google ก็ได้กล่าวถีงอัปเดตใหม่ ๆ ไว้ดังต่อไปนี้

Daydream 2.0



          Google กำลังเตรียม Daydream 2.0 โค้ดเนม Euphrates ซึ่งจะเน้นไปที่การทำให้ VR สนุกมากขึ้นและแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยมีฟีเจอร์ในการจับภาพสิ่งที่เห็นและสามารถสตรีมไปให้คนอื่น ๆ ดูได้


          และในเร็ว ๆ นี้ Google จะอัปเดตให้สามารถใช้ VR ดูวิดีโอ YouTube ร่วมกับคนอื่น ๆ พร้อมทั้งสามารถแชร์ประสบการณ์กับคนอื่นใน VR เดียวกันได้

Developers


          ในปัจจุบัน เรายังต้องการนักพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสร้างเนื้อหา VR ที่น่าสนใจเพิ่ม ดังนั้น Google จึงได้จัดเตรียมเครื่องมือในการพัฒนาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น

          ตัวแรกคือ Instant Preview ซึ่งจะช่วยแสดงสิ่งที่นักพัฒนาแก้ไขบนคอมพิวเตอร์ให้เห็นทันทีในชุดหูฟัง ทำให้สร้างสรรค์เนื้อหา VR ได้เร็วขึ้น


          ตัวถัดไปคือเทคโนโลยีที่เรียกว่า Seurat (ตั้งชื่อตามจิตรกรชาวฝรั่งเศส) ซึ่งจะใช้เทคนิคอันชาญฉลาดช่วยให้ GPU ของสมาร์ทโฟนสามารถแสดงผลกราฟิกความคมชัดระดับสูงของเดสก์ท็อป (หรือดีกว่า) ในแบบเรียลไทม์

Web


          จากการที่ Google เปิดตัวเว็บ WebVR Experiments แสดงให้เห็นถึงความต้องการของ Google ที่มุ่งเน้นจะให้เว็บสามารถแสดงเนื้อหา VR ได้ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเนื้อหาของ VR ได้โดยไม่สนใจว่าจะเป็นอุปกรณ์แบบไหน ซึ่ง Google ได้ประกาศสนับสนุนมาตรฐาน WebVR โดย Chrome VR จะช่วยให้สามารถท่องเว็บ VR ได้ นอกจากนี้ Google ยังประกาศว่าจะรองรับ AR ในเว็บไซต์อีกด้วย


ที่มา: Blog Google


วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดตัว TensorFlow Research Cloud บริการที่ช่วยสนับสนุนงานวิจัยด้าน AI


          จากงาน Google I/O 2017 ที่ผ่านมา (อ่านสรุป Keynote ภายในงาน) แสดงให้เห็นว่า Google ให้ความสำคัญกับ AI มาก เห็นได้จากการนำ AI มาใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำให้เกิดฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย แต่การจะฝึกสอนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้และคิดเองได้นั้นจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรทางด้านคอมพิวเตอร์อย่างมากมายมหาศาล ซึ่ง Google ได้ทำการเปิดตัว TensorFlow Research Cloud (TFRC) บริการที่สนับสนุนโครงงานวิจัยในด้าน AI โดยไม่คิดค่าบริการ


          TensorFlow Research Cloud เป็นบริการบนกลุ่มคลาวด์ซึ่งใช้งาน TPU ที่มีความแรงมากถึง 180 TFLOPS จำนวน 1,000 ตัว และแต่ละตัวก็มีหน่วยความจำ 64GB นอกจากนี้ยังรองรับการเขียนโปรแกรม TensorFlow (ไลบรารีสำหรับใช้พัฒนา Machine Learning เป็น Open source ที่เขียนด้วยภาษา Python)

          บริการ TensorFlow Research Cloud เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้งานได้ แต่จำเป็นต้องสมัครกให้ทาง Google ทำการคัดเลือกก่อน (จู่ ๆ จะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาใช้บริการทรงคุณภาพของตัวเองง่าย ๆ ได้ไง) โดยจะมีเงื่อนไขเล็กน้อยในการใช้งานบริการ เช่น จะต้องแบ่งปันผลงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากบริการ TensorFlow Research Cloud, จะต้องแสดงความคิดเห็นที่มีต่อ TensorFlow Research Cloud ให้กับ Google เพื่อการปรับปรุงบริการในอนาคต เป็นต้น ผู้สนใจสามารถยื่นสมัครเข้าใช้งานได้ ที่นี่


ที่มา: Research Google Blog


วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดตัว Google Payment API วิธีง่าย ๆ ในการจ่ายเงิน


          ในงาน Google I/O ที่กำลังจัดอยู่ (อ่านสรุป Keynote ภายในงาน) Google ได้เปิดตัว Google Payment API ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่บันทึกไว้ในบัญชี Google ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกขึ้น โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจำหรือกรอกข้อมูลของบัตรเพิ่ม เพียงแค่เลือกการ์ดที่ต้องการ ใส่รหัสรักษาความปลอดภัยหรือตรวจสอบความถูกต้องกับอุปกรณ์แอนดรอยด์ จากนั้นก็จ่ายเงินได้ทันที


          Google Payment API จะอนุญาตให้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ใช้ข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่บันทึกไว้ในบัญชี Google โดยแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่ใช้งาน API จะแสดงปุ่ม "Pay with Google" และเมื่อผู้ใช้แตะที่ปุ่มก็จะเห็นรายชื่อบัตรที่บันทึกไว้


          ในไม่อีกกี่เดือนถัดไป Google จะเปิดให้ส่งหรือรับเงินผ่าน Google Assistant ทั้งใน Google Home และในอุปกรณ์แอนดรอยด์


วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สรุป Keynote ของงาน Google I/O 2017 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2560


          จบไปแล้วนะครับสำหรับงานวันแรกของ Google I/O 2017 งานประชุมสำหรับนักพัฒนาประจำปีของ Google ที่จัดกัน 3 วันติด ตั้งแต่วันที่ 17 - 19 พฤษภาคม 2560 ขึ้นชื่อว่าเป็นงานที่เหล่านักพัฒนามาประชุมกันแบบนี้ แน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรม โดยภายในงานจะแบ่งเป็นห้อง ๆ ให้นักพัฒนาเข้าร่วมฟังหัวข้อการพัฒนาที่ตนเองสนใจ ซึ่งผมคงจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาสักเท่าไหร่ แต่จะสรุป Keynote หรือหัวข้อสำคัญของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ Google นำมาเปิดตัวในงานนี้


          เริ่มต้นด้วยคุณซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) CEO ของ Google ขึ้นมากล่าวเปิดงาน Google I/O 2017 บนเวที ตามด้วยตัวเลขสถิติผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Google ซึ่งมีมากกว่า 1 พันล้านคน ผู้คนดูวิดีโอบน Youtube มากกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน มีการใช้งาน Google Maps ในการนำทางมากกว่า 1 พันล้านกิโลเมตรต่อวัน มีผู้ใช้งาน Google Drive มากกว่า 800 ล้านคนและมีไฟล์ในระบบมากกว่า 3 พันล้านไฟล์ มีผู้ใช้งาน Google Photos มากกว่า 500 ล้านคนและมีการอัพโหลดรูป 1.2 พันล้านรูปต่อวัน ส่วนอุปกรณ์แอนดรอยด์มีการใช้งานมากกว่า 2 พันล้านเครื่อง

          นอกจากนี้คุณพิชัยยังกล่าวว่า Google จะเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญมือถือเป็นอันดับแรกมาให้ความสำคัญด้านปัญญาประดิษฐ์ (Mobile first to AI first) ซึ่งจะมีการรวมปัญญาประดิษฐ์เข้าไปในผลิตภัณฑ์ของ Google เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน .....เอาล่ะ เรามาดูฟีเจอร์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ Google นำมาเปิดตัวกัน

Smart Reply



          เนื่องจากการอ่านอีเมลในขณะที่เรากำลังเดินทางอยู่เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าต้องการตอบอีเมลฉบับนั้นกลับทันทีเลยจะใช้เวลาค่อนข้างมาก ดังนั้น Google จึงจับเอา Machine Learning ไปใส่ใน Gmail ให้ช่วยแนะนำข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็วเพื่อประหยัดเวลา โดยเมื่อเลือกข้อความแล้วเราสามารถส่งข้อความได้ทันทีหรือจะแก้ไขข้อความก่อนตอบกลับก็ได้ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ใช้บน Android และ iOS ในภาษาอังกฤษก่อน ภาษาสเปนจะเปิดให้ใช้บริการภายในไม่กี่สัปดาห์ ส่วนภาษาอื่น ๆ จะทยอยตามมาทีหลัง

Google Lens



          ด้วยการผนวกความฉลาดของ Google Assistant ลงไปในกล้องของสมาร์โฟน บังเกิดเป็นกล้องอัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์และแสดงเนื้อหาของสิ่งที่ถูกกล้องเล็งอยู่ได้ เช่น เมื่อเล็งกล้องไปที่ดอกไม้ก็จะแสดงข้อมูลประเภทของดอกไม้ขึ้นมา หรือเมื่อเราเล็งกล้องไปยังร้านอาหารก็จะเห็นรีวิวของร้าน นอกจากนี้หากเราเล็งกล้องไปยังข้อมูลการล็อกอิน Wi-Fi สมาร์ทโฟนก็จะทำการเชื่อมต่อ Wifi ให้เองโดยอัตโนมัติ

          ฟีเจอร์นี้ถือเป็นการเพิ่มขีดความสามารถอีกขั้นให้กับกล้องสมาร์ทโฟน จากเดิมที่ Google Translate สามารถแปลข้อความได้เพียงแค่ยกกล้องไปส่องที่ข้อความ แต่เมื่อเพิ่ม Google Assistant ลงไปก็ไม่ใช่แค่ทำให้เราเห็นได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่เห็นได้อีกด้วย

Cloud TPUs



          Machine Learning ได้พัฒนาเป็นอย่างมากในช่วงเวลาไม่กี่ปี ซึ่งเครือข่ายประสาทเทียมนี้ได้ช่วยปรับปรุงคุณภาพการแปลภาษาของ Google Translate ช่วยในการจัดอันดับผลการค้นหาของ Google Search และช่วยให้สามารถค้นหารูปภาพที่ต้องการได้ง่ายขึ้นด้วย Google Photos แต่เทคโนโลยีนี้จำเป็นต้องใช้การคำนวณจำนวนมหาศาลเพื่อฝึกแบบจำลองให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ Google จึงได้ออกแบบและสร้าง Tensor Processing Units (TPU) รุ่นที่สองเพื่อรองรับการคำนวณจำนวนมหาศาลนั้น

          TPU รุ่นที่สองนี้มีพลังประมวลผล 180 TFLOPS ซึ่งทาง Google ออกแบบระบบเป็นตู้  ดดยแต่ละตู้จะบรรจุ TPU ไว้ 64 ชุด รวมพลังประมวลผล 11.5 PFLOPS เพื่อช่วยให้ Machine Learning เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว .....อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่

Google.ai


          โครงการนี้ Google ได้พยายามนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประโยชน์เพื่อทุกคน แต่การจะสร้าง AI นั้นค่อนข้างยาก Google จึงได้ออกแบบ AI ที่สามารถ "เรียนรู้ที่จะเรียนรู้ได้" และแนวทางนี้เรียกว่า AutoML ซึ่งมีแนวคิดว่า แทนที่จะใช้แรงงานมนุษย์ในการออกแบบโมเดล Machine Learning ใหม่ เปลี่ยนเป็นให้ Machine Learning ที่สร้างขึ้นแล้วทำหน้าที่ออกแบบแทน ซึ่งจะทำให้การสร้าง AI มีความยากน้อยลง

          ด้วยความก้าวหน้าของ AutoML สามารถใช้ในการดูแลสุขภาพ โดยสร้างเครื่องมือในการตรวจหาและศึกษาวิธีการทำงานของโรค เช่น ปรับปรุงวิธีการวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านม จัดลำดับดีเอ็นเอซึ่งจะทำให้นักวิจัยสามารถระบุตัวแปรทางพันธุกรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หรือแม้แต่ทำนายคุณสมบัติของโมเลกุลใหม่ที่ใช้ในการค้นคว้ายา เป็นต้น

          นอกจากนี้ Google ยังได้นำ AI มาใช้ใน AutoDraw เว็บไซต์ช่วยวาดรูปที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนที่แล้ว (อ่านข่าวการเปิดตัวเว็บไซต์ AutoDraw) และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมายที่จะพูดถึงในหัวข้อถัดไป

Google Assistant



          Google เพิ่มความสามารถ Google Assistant ให้รองรับการสนทนาจากการพิมพ์ ทำให้เราสามารถพิมพ์สั่ง Google Assistant แทนได้ .....อ้าว ปกติก็สั่งการด้วยเสียงได้สะดวกสบายกว่าอยู่แล้วนี่นา จะทำให้พิมพ์สั่งได้ด้วยไปทำไม จริงอยู่ที่ฟังก์ชันนี้อาจจะไม่ล้ำสมัยสักเล็กน้อย แต่ก็เป็นประโยชน์เวลาเราใช้งาน Google Assistant ในที่สาธารณะ เราคงไม่อยากถูกคนอื่นมองเวลาคุยกับสมาร์ทโฟนใช่ม่ะ แถมยังเป็นฟังก์ชันที่ช่วยคนที่ออกสำเนียงภาษาอังกฤษไม่เก่งได้เป็นอย่างดี (ฮา)

          นอกจากนี้ Google ยังปล่อยแอปพลิเคชัน Google Assistant ให้ใช้งานบน iPhone แล้ว พร้อมทั้งเปิดชุดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Google Assistant (Google Assistant SDK) ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถจับ Google Assistant มาใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์ของตนเองได้

Google Home



          สิ่งใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน Google Home มีหลายอย่าง อันดับแรกก็คือ Google Assistant ซึ่งจะทำให้บ้านของเราฉลาดขึ้นอีกขั้น สามารถให้ข้อมูลได้ด้วยตัวเองโดยที่เราไม่ต้องร้องขอ เช่น ถ้ามีรถติดในเส้นทางที่เรากำลังจะไป Google Home ก็จะแจ้งเตือนให้อัตโนมัติ อันดับถัดไปก็คือความสามารถในการโทรออกหรือ Hands-Free Calling ซึ่งเราสามารถโทรออกไปหาใครก็ได้ (ในสหรัฐฯ) เพียงแค่ใช้เสียงออกคำสั่งกับ Google Home เท่านั้น ที่สำคัญคือฟรี!

          นอกจากนี้ยังมีบริการสตรีมเพลงจากเว็บให้เช่าเพลงเช่น Spotify และจะรองรับการสตรีมเพลงจากเว็บ Soundcloud และ Deezer , การสตรีมจากอุปกรณ์อื่นผ่าน Bluetooth หลังจากการอัปเดตในอนาคต และสิ่งสุดท้ายที่เพิ่มเข้ามาคือความสามารถในการเลือกอุปกรณ์แสดงผล ปกติ Google Home ไม่มีหน้าจอสำหรับแสดงผลอยู่แล้ว เวลาที่ผู้ใช้งานสั่งค้นหาเส้นทาง Google Home ก็จะส่งแผนที่เส้นทางไปแสดงผลในสมาร์ทโฟน

Google Photos



          Google Photos เองก็ไม่รอด ถูกจับเจ้า Google Assistant เข้าไปใช้งานด้วย เพิ่มฟีเจอร์ในการแชร์ขึ้นมาอีก 3 ฟีเจอร์ ฟีเจอร์แรกก็คือ Suggested Sharing ซึ่งจะใช้ Machine Learning ค้นหาใบหน้าในรูปจากนั้นก็จะเตือนให้เราแชร์รูปถ่ายกับคนที่ปรากฏอยู่ในรูปด้วย เช่น เมื่อเราถ่ายรูปกับแฟน Google Photos ก็จะแจ้งเตือนขึ้นมาให้เราแชร์รูปถ่ายให้แฟนเราด้วย


          ฟีเจอร์ที่สองคือ Shared libraries ที่จะช่วยให้เราสามารถตั้งค่าสมาร์ทโฟนเพื่อ Sync ภาพถ่ายไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ เช่น เราสามารถตั้งค่าสมาร์ทโฟนของเราให้ Sync ภาพถ่ายคู่กับแฟนไปยังสมาร์ทโฟนของแฟนได้โดยอัตโนมัติ เมื่อเราถ่ายรูปคู่ด้วยสมาร์ทโฟนของเรา รูปก็จะปรากฏในสมาร์ทโฟนของแฟนให้ทันที


          ฟีเจอร์ที่สามคือ Photo Books ที่จะใช้ Machine Learning ช่วยในการเลือกภาพต่าง ๆ มารวมเป็นอัลบั้มที่เราสามารถพิมพ์ออกมาเป็นหนังสืออัลบั้มภาพมีให้เลือกทั้งปกอ่อนและปกแข็ง ราคาเริ่มต้นที่ $9.99 หรือประมาณ 350 บาท และก็แน่นอนว่าตอนนี้ฟีเจอร์ดั่งกล่าวเปิดให้ใช้ในสหรัฐอเมริกาแล้ว ส่วนประเทศไทยไม่รู้จะได้ใช้ฟีเจอร์นี้เมื่อไหร่


          ในอนาคต ด้วยพลังแห่ง Machine Learning จะทำให้ Google Photos สามารถลบสิ่งไม่พึงประสงค์ในรูปออกไปได้โดยอัตโนมัติ

YouTube



          YouTube จะรองรับวิดีโอแบบ 360 องศาในแอปพลิเคชันบนสมาร์ททีวี ซึ่งสามารถใช้รีโมทในการควบคุมการหมุนวิดีโอ 360 องศาบนหน้าจอได้ และยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Super Chat ซึ่งจะทำให้เราสามารถจ่ายเงินในขณะดูสตรีมสดบน YouTube ได้เลย โดยข้อความที่จ่ายเงินจะถูกเน้นให้โดดเด่นขึ้น ทำให้ผู้สตรีมสามารถเห็นข้อความดังกล่าวได้ง่าย ฟีเจอร์นี้ยังเป็นการสร้างรายให้กับผู้สตรีมอีกด้วย

Android


 

          ปัจจุบันนี้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ โทรทัศน์ รถยนต์ นาฬิกา โน้ตบุ๊ก ฯลฯ โดยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชันล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็คือ Android O ถึงแม้จะยังไม่ใช่ตัวเต็ม แต่ก็มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย (ข่าวการเปิดตัว Android O)


          เริ่มกันที่ฟีเจอร์ Picture-in-Picture ในโหมดนี้เราจะสามารถย่อขนาดวิดีโอ (รวมไปถึงวิดีโอคอล) ลงไปไว้ที่มุมของหน้าจอ ทำให้เราใช้งานแอปพลิเคชันอื่นได้ในขณะที่กำลังเล่นวิดีโออยู่


          ฟีเจอร์ Notification Dots จะเป็นการแสดงจุดแจ้งเตือนบนไอคอนแอปพลิเคชัน ซึ่งจะบ่งบอกให้เรารู้ว่าแอปพลิเคชันไหนมีการแจ้งเตือนอะไรใหม่ ๆ บ้าง โดยเมือเราแตะค้างบนไอคอนแอปพลิเคชันที่มีจุดแจ้งเตือน เราก็จะเห็น

          ฟีเจอร์ Autofill with Google จะช่วยในการเติมข้อมูลให้อัตโนมัติ โดยเป็นข้อมูลที่ Sync มาจาก Google Chrome ซึ่งใครที่ใช้ Google Chrome ในการท่องเว็บอยู่แล้วจะรู้ถึงความสะดวกสบายของฟีเจอร์นี้เลย


          ฟีเจอร์ Smart Text Selection ที่ช่วยให้การเลือกคำทำได้ง่ายขึ้น โดย Machine Learning จะเรียนรู้คำและทำให้เราสามารถเลือกประโยคยาว ๆ ได้ตามความเหมาะสม เช่น เลือกข้อความที่อยู่ในการคลิกเพียงแค่ครั้งเดียว เป็นต้น นอกจากนี้ระบบยังฉลาดพอที่จะรู้ว่าข้อความที่เราเลือกอยู่เป็นอะไร ถ้าเป็นที่อยู่ก็จะมีตัวเลือกให้เปิดในแผนที่ หรือถ้าเป็นเบอร์โทรศัพท์ก็จะมีตัวเลือกให้โทรออก


          นอกจากจะเพิ่มลูกเล่นใหม่ให้เราสามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้นแล้ว ยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้งานของ Android O ให้ดียิ่งขึ้น เช่น ความปลอดภัย อายุของแบตเตอรี่ เป็นต้น โดย Google เรียกการปรับปรุงในด้านประสิทธิภาพนี้ว่า Vitals นอกจากนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังแอปพลิเคชันน่าสงสัย ทาง Google ยังได้สแกนแอปพลิเคชันที่ติดตั้งในเครื่องมากถึง 5 หมื่นล้านแอปพลิเคชันต่อวัน

          เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบให้ดียิ่งขึ้น Google เปิดตัว Google Play Protect ซึ่งเป็นตัวตรวจหาไวรัสที่จะคอยสแกนแอปพลิเคชันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโค้ดที่น่าสงสัยหรือมีอันตราย นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบปฏิบัติการให้สามารถเปิดเครื่องและแอปพลิเคชันได้เร็วขึ้นถึง 2 เท่า และเพิ่มประสิทธิภาพให้แอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลังใช้ทรัพยากรและกินแบตเตอรี่น้อยลง

          ในด้านการพัฒนา Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ให้ Play Console Dashboards เพื่อที่จะวิเคราะห์แอปพลิเคชันของนักพัฒนาว่าใช้ทรัพยากรหรือกินแบตเตอรี่มากเกินไปหรือเปล่า ซึ่งจะช่วยให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ แล้วยังมีส่วนเสริมของ Android Studio ที่ช่วยแสดงประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันที่กำลังพัฒนา ว่าใช้หน่วยความจำเท่าไหร่ กินแบตเตอรี่มากแค่ไหน และสิ่งใหม่สุดท้ายที่เพิ่มเติมเข้ามาในด้านการพัฒนานั่นก็คือการประกาศรองรับภาษา Kotlin เป็นภาษาที่สองสำหรับการเขียนโปรแกรมนั่นเอง

Android Go


          Google เปิดตัวโครงการใหม่ที่เรียกว่า Android Go ซึ่งเป็นการปรับแอนดรอยด์ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์สเปคต่ำที่มีแรมน้อยกว่า 1 GB ไม่ว่าจะเป็นลดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโหมดประหยัดดาต้าของ Google Chrome ซึ่งสามารถลดการใช้ดาต้าได้ 750 TB ต่อวัน ปรับปรุงบางแอปพลิเคชันให้กินทรัพยากรน้อยลง (ซึ่งนั่นหมายถึงคุณภาพของแอปพลิเคชันนั้นจะลดลงด้วย) รองรับหลายภาษา เพื่อทำให้สมาร์ทโฟนที่ใช้งาน Android Go มีราคาถูกจนทุกคนสามารถซื้อมาใช้งานได้

VR และ AR





          Google เปิดตัว Daydream เมื่อปีที่แล้วเพื่อนำเสนอประสบการณ์เสมือนจริงที่มีคุณภาพสูงเข้าสู่สมาร์ทโฟน ซึ่งในงานครั้งนี้ Google ประกาศเพิ่มชุดหูฟัง Daydream VR แบบสแตนด์อโลน ซึ่งสามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟนหรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งตอนนี้ Google กำลังทำงานร่วมกับ HTC Vive และ Lenovo เพื่อสร้างและเปิดตัวชุดหูฟังใหม่ในปลายปีนี้ โดยตัวแว่นใหม่จะมีเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวได้อย่างละเอียดที่เรียกว่า WorldSense เพิ่มเข้ามา


          ในส่วนของ AR มีการเปิดตัว Visual Positioning Service (VPS) ที่ช่วยจับตำแหน่งภายในอาคารได้อย่างแม่นยำจากการจับภาพและลักษณะพื้นที่รอบ ๆ นอกจากนี้ Google ยังรวมเทคโนโลยี AR เข้าไปใน Google Expeditions (โครงการที่ใช้แว่น VR พาเด็ก ๆ ไปสำรวจและเรียนในสถานที่แปลกใหม่) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้

Google for Jobs


          Google for Jobs คือผลิตภัณฑ์ของ Google ที่จะช่วยค้นหางาน ตั้งแต่งานขายปลีกจนถึงตำแหน่งผู้บริหาร ซึ่งจะใช้ Machine Learning ในการกรองตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับผู้ใช้ รวมไปถึงความสะดวกในการเดินทาง สามารถค้นหาได้ทันทีในช่องค้นหาของ Google โดย Google for Jobs จะเปิดตัวในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและจะให้บริการในสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรกก่อน และจะทยอยให้บริการในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก


          ในปีนี้ Google ให้ความสำคัญกับ AI และได้นำ AI มาทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำให้เกิดฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน แต่นี่เป็นเพียงแค่ Keynote เท่านั้น ซึ่งผมจะทยอยนำเทคโนโลยีที่ Google พูดถึงในงาน Google I/O วันอื่น ๆ มาเขียนให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน แต่บทความอาจจะมาช้านิดนึงนะ แหะ ๆ


วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Audi และ Volvo ประกาศสร้างรถอัจฉริยะ Android Auto


          ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีไปไกลมาก สิ่งของอะไร ๆ ก็ถูกจับใส่ความอัจฉริยะลงไปหมด ทั้งโทรศัพท์ ตู้เย็น รถยนต์ ล่าสุดบริษัทผลิตรถยนต์ออดี้และวอลโว่ประกาศว่าจะจับแอนดรอยด์ใส่ลงไปในรุ่นยนต์รุ่นถัดไป ซึ่งหมายความว่ารถยนต์ของเราจะสามารถค้นหาสถานที่ผ่าน Google Maps ได้โดยไม่ต้องเปิดสมาร์ทโฟน (นับเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องเปิด Google Maps เวลาเดินทางไปไหนมาไหน) โดยจะมีการจัดแสดงระบบตัวอย่างในงาน Google I/O วันที่ 17 - 19 พฤษภาคม 2560 ที่จะถึงนี้


          Android Auto คือมาตราฐานการใช้งานสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ผ่านแผงควบคุมในรถยนต์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือการใช้งานแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนผ่านรถยนต์นั่นเอง ซึ่งเราจะต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Lollipop 5.0 ขึ้นไปที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน Android Auto เข้ากับรถยนต์จึงจะสามารถใช้งานได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่


ที่มา: Blog Google


วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

การกินขี้มูกดีต่อฟันและสุขภาพ


          บางครั้งเราจะเห็นเด็ก ๆ แคะขี้มูกออกมาแล้วก็กินมันเข้าไป (หรือแม้กระทั่งตัวเราในวัยเด็กเองก็อาจจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน) ตอนนั้นเราคงจะรู้สึกว่า "อี๋ กินของสกปรกเข้าไปได้ไง คายออกมาเดี๋ยวนี้นะ" นั่นเป็นเพราะเราคิดว่าขี้มูกเป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรีย เลยทึกทักเอาว่าเป็นของสกปรก จริงอยู่ที่ขี้มูกเป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรีย แต่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยหลายสถาบันรวมถึงมหาวิทยาลัย Harvard และมหาวิทยาลัย University of Saskatchewan ค้นพบว่าแบคทีเรียที่อยู่ในขี้มูกนั้นเป็นแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพของเรา

          จากงานวิจัยพบว่าขี้มูกสามารถช่วยไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดตามฟัน ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินหายใจ แผลในกระเพาะอาหาร หรือแม้แต่เชื้อ HIV อีกด้วย นอกจากนี้คนที่แคะขี้มูกแบบแห้งมากินจะมีสุขภาพดี ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพราะจมูกเป็นตัวคัดกรองแบคทีเรียที่จะเข้าสู่ร่างกาย เมื่อแบคทีเรียจากขี้มูกที่กินเข้าไปลงไปถึงลำไส้ก็จะแสดงประสิทธิภาพคล้ายกับยา

          ปัจจุบันนักวิจัยกำลังค้นคว้ายาสีฟันและหมากฝรั่งที่มีส่วนประกอบที่สังเคราะห์มาจากขี้มูก เพื่อนำประโยชน์ของขี้มูกมาใช้ในทางทันตกรรม และในอนาคตอาจจะมีตัวยาที่ผลิตจากขี้มูกด้วยก็เป็นได้


ที่มา: Telegraph.co.uk


วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเราทำอะไรทีละอย่าง


          จากการวิจัยพบว่าสมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเราจดจ่ออยู่ในงาน ๆ เดียว ซึ่งการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันจะลดประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้มากถึง 40% โดยนักวิจัยได้ทำการถ่ายภาพสมองแล้วพบว่าการเปลี่ยนงานบ่อยเกินไปจะรบกวนการทำงานของสมอง

          สมองกลีบขมับส่วนหลัง (Posterior Temporal), กลีบสมองส่วนหน้า (Dorsomedial Prefrontal Cortex), เซรีเบลลัม (Cerebellum) และสมอง Precuneus ส่วนหลัง (Dorsal Precuneus) เป็นสมองส่วนสำคัญที่สุดในการรวบรวมเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เรียงเป็นลำดับเข้าด้วยกัน ซึ่งพื้นที่สมองเหล่านี้จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเรากำลังจดจ่ออยู่กับงานหนึ่ง ๆ ตลอดเวลา

          นักวิจัยกล่าวว่าการทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กันจะทำให้สมาธิลดลงซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด และความเครียดก็จะเป็นอุปสรรคขัดขวางความคิดและความจำ นอกจากนี้สื่อสังคมออนไลน์ก็ยังเป็นสิ่งที่เพิ่มภาระให้กับสมองอีกด้วย


ที่มา: Medicalnewstoday.com


Google เผยโปรเจค Treble ที่ช่วยทำให้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ยี่ห้อต่าง ๆ ได้อัปเดตเร็วขึ้น


          ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการในสมาร์ทโฟนที่มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากมีผู้ผลิตที่หลากหลาย (เช่น ซัมซุง หัวเว่ย แอลจี เป็นต้น) และมีสมาร์ทโฟนตั้งแต่สเปคระดับล่างที่มีราคาถูกไปจนถึงสเปคระดับสูงที่ราคา (โคตร) แพง ฐานผู้ใช้งานจึงกว้าง แต่การที่มีผู้ผลิตที่หลากหลายก็เป็นปัญหาใหญ่ตามมา

          ด้วยความที่เป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิดจึงทำให้ผู้ผลิตแต่ละรายได้นำแอนดรอยด์จาก Google มาดัดแปลงเพิ่มเติมฟีเจอร์เพื่อให้สมาร์ทโฟนของตนมีเอกลักษณ์แตกต่างจากสมาร์ทโฟนของผู้ผลิตรายอื่น เมื่อ Google ทำการอัปเดตระบบปฏิบัติการ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ใช้งานแอนดรอยด์ต่างก็ใช้เวลาและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการอัปเดตระบบปฏิบัติการ ผู้ผลิตบางรายจึงยกเลิกไม่อัปเดตระบบปฏิบัติการให้กับสมาร์โฟนบางรุ่น หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "โดนลอยแพ"


          ปัญหาการอัปเดตระบบปฏิบัติการช้าทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่ ๆ มีน้อย จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า ผู้ใช้งานแอนดรอยด์ส่วนมากยังใช้งานระบบปฏิบัติเวอร์ชัน Lollipop และ Marshmallow อยู่เลย

          เพื่อเป็นการจำกัดปัญหาดังกล่าว ทีมพัฒนาของ Google จึงได้เปิดตัวโปรเจค Treble ขึ้นมา เพื่อยกระดับมาตราฐานของแอนดรอยด์ให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ได้อย่างรวดเร็ว


          เมื่อมีการปล่อยระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ ทาง Google จะต้องส่งระบบปฏิบัติการไปให้ผู้ผลิตชิป จากนั้นผู้ผลิตชิปก็จะส่งต่อไปยังผู้ผลิตสมาร์ทโฟนต่าง ๆ เพื่อนำไปรวมกับฟีเจอร์ที่ตนเองทำขึ้น


          โปรเจค Treble เป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบของแอนดรอยด์ใหม่ โดยการแยก Android OS Framework ออกจากส่วนของผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เพื่อให้สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ซึ่งตอนนี้โปรเจค Treble จะมาพร้อมกับอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชัน O นั่นหมายความว่าตั้งแต่แอนดรอยด์เวอร์ชัน O เป็นต้นไป สมาร์ทโฟนจากผู้ผลิตรายต่าง ๆ จะได้รับการอัปเดตระบบปฏิบัติการจาก Google แล้ว


ที่มา: Android Developers