วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การกลายพันธุ์ในมนุษย์ยุคโบราณอาจทำให้เราเป็นโรคข้ออักเสบ


          ในปัจจุบัน นักวิชาการค้นพบหลักฐานจากการวิเคราะห์หัวกะโหลกว่ามนุษย์สายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปแอฟริกา หลังจากนั้นมนุษย์ก็เดินทางออกจากทวีปแอฟริกากระจายไปทั่วโลกจนกลายมาเป็นมนุษย์ยุคปัจจุบันที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ผิวพรรณ วัฒนธรรมประเพณี ฯลฯ

          เมื่อประมาณ 100,000 ปีก่อน บรรพบุรุษของเราที่เริ่มอพยพออกเดินทางจากทวีปแอฟริกาต้องพบเจอกับสภาพอากาศอันโหดร้าย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ายีนของมนุษย์ในยุคนั้นได้เกิดการกลายพันธุ์เพื่อช่วยให้บรรพบุรุษเรารอดพ้นจากโรคความเย็นกัด แต่ผลจากการกลายพันธุ์นั้นกลับเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะทำให้เราเป็นโรคข้ออักเสบ

          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford และมหาวิทยาลัย Harvard พบว่ายีนที่เกิดการกลายพันธุ์คือยีน GDF5 ซึ่งเป็นยีนที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของกระดูกและการสร้างข้อต่อ ผลลัพธ์ทำให้ความยาวของกระดูกลดลงและเพิ่มโอกาสเป็นโรคข้อเสื่อมถึงสองเท่า

          ในการเดินทางออกสู่โลกภายนอกนั้น กระดูกที่สั้นลงทำให้ร่างกายของบรรพบุรุษเรามีขนาดกระทัดรัดขึ้นซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการกระดูกหัก ลดการสูญเสียความร้อน และลดพื้นที่ผิวสัมผัสกับอากาศหนาวเย็น ถือเป็นประโยชน์มากกว่าโรคข้อเสื่อมซึ่งเป็นผลที่มาพร้อมกัน และเป็นไปตาม Allen's rule ที่กล่าวว่า "ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตอากาศหนาวเย็นจะมีแขนขาสั้นกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตอบอุ่น"

          การกลายพันธุ์ของยีนคือการปรับตัวให้สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย แม้จะมีผลเสียตามมาด้วย แต่ถ้าผลดีมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตมากกว่า การกลายพันธุ์นั้นก็จะถูกธรรมชาติคัดเลือกให้ส่งต่อไปยังลูกหลานสืบต่อไป


ที่มา: Sciencealert


วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดตัวโครงการ PAIR เพื่อศึกษาและออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI


          ปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มีความก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก และได้เริ่มมีการนำเอาเจ้าปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้งานในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น แต่ถ้าเพิ่มการนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทำงานแทนมนุษย์โดยไม่คิดถึงผลกระทบก็อาจจะเกิดปัญหาหุ่นยนต์แย่งงานขึ้น เพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมาทีหลัง Google หนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จึงได้เปิดตัวโครงการ People + AI Research initiative (PAIR) ขึ้นมา

          โครงการนี้เป็นการรวบรวมนักวิจัยเพื่อศึกษาและออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์โดยมุ่งเน้นในด้านมนุษย์จากมุมมองของปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมายไม่ใช่แค่การเผยแพร่งานวิจัยอย่างเดียว แต่ยังเป็นการพัฒนาเครื่องมือให้นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ ใช้ โดยงานวิจัยของ PAIR แบ่งออกเป็น 3 ด้าน
  • วิศวกรและนักวิจัย: เพื่อศึกษาแนวทางให้วิศวกรและนักวิจัยเข้าใจระบบ Machine Learning
  • ผู้เชี่ยวชาญ: เพื่อศึกษาว่าปัญญาประดิษฐ์จะสามารถช่วยสนับสนุนงานของผู้เชี่ยวชาญได้อย่างไร
  • ผู้ใช้งาน: เพื่อศึกษาว่าผู้ใช้งานจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

          Google ทำงานร่วมกับนักวิจัยจาก Harvard และ MIT ในโครงการนี้เพื่อสร้างชุมชนและสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ยังเป็นการคิดค้นและวิจัยผลที่ได้จากการนำปัญญาประดิษฐ์มาทำงานร่วมกับมนุษย์อีกด้วย


ที่มา: Blog Google


สัมผัสยุทธการดันเคิร์กในสงครามโลกครั้งที่สองผ่าน WebVR


         Google เปิดประสบการณ์ยุทธการดันเคิร์ก (Dunkirk) ในสงครามโลกครั้งที่สองให้พวกเราได้สัมผัสผ่านเกม WebVR ในเว็บบราวเซอร์โครม ซึ่งอิงจากภาพยนต์เรื่อง Dunkirk ที่กำลังจะเข้าฉายในช่วงปลายเดือนกรกฏาคม 2560 ที่จะถึงนี้



          ตัวเกมจะให้เราได้สัมผัสการบุกโจมตีบนชายหาดดันเคิร์กช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (มิถุนายนปี 2483) ซึ่งเราจะต้องพยายามเอาชีวิตรอดจากการโจมตี มีโหมดเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน ในช่วงสงครามทุกทางเลือกอาจส่งผลต่อการมีชีวิตหรือความตาย

          เกมนี้เกิดจากความร่วมมือของ Warner Bros, ทีม Google Chrome VR, Jam3 และ Google Zoo ซึ่งเปิดให้เล่นบน WebVR ทำให้เราสามารถเข้าเล่นเกมได้ง่ายผ่านเว็บบราวเซอร์หรือชุดอุปกรณ์ VR โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเพิ่มเติม



ที่มา: Blog Google


วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน


          หนึ่งในกระแสนิยมตอนนี้คือกระแสรักสุขภาพ เห็นได้จากการจัดงานวิ่งที่มีทุกอาทิตย์ (สมัยก่อนก็พอมีบ้างแต่ไม่เยอะเท่าปัจจุบัน แถมยังไม่ต้องแย่งสมัครกับคนอื่นอีก เดี๋ยวนี้พอสมัครช้าหน่อยก็คนเต็มปิดรับสมัครไปซะแล้ว แถมค่าสมัครก็แพงขึ้นอีก) เพจที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ฯลฯ ซึ่งในการลดน้ำหนักและดูแลรักษาสุขภาพนั้นจำเป็นต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ถ้าคนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของร่างกายก็จะเข้าใจว่าให้กินไขมันน้อย ๆ พอร่างกายไม่มีไขมัน น้ำหนักก็จะลดลงเอง แต่จากงานวิจัยพบว่าการดื่มนมหรือโยเกิร์ตที่มีไขมันต่ำกลับเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

          ดอกเตอร์ Dariush Mozaffarian และทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์เลือดของคนที่มีอายุอยู่ในช่วง 30 - 75 ปี และใช้เวลาวิจัยถึง 15 ปี ค้นพบว่าผู้ที่รับประทานผลิตภัณฑ์จากนมที่มีระดับไขมันสูงจะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าผู้ที่บริโกคแต่อาหารที่มีไขมันต่ำถึง 46 เปอร์เซนต์

          การศึกษาพบว่าผู้ที่ลดปริมาณไขมันจากอาหารที่กินเข้าไปมักจะแทนที่ด้วยน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ส่งผลร้ายต่ออินซูลินและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีอีกงานวิจัยที่วิเคราะห์ผลกระทบของผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูงและไขมันต่ำต่อโรคอ้วน ซึ่งพบว่าผู้หญิงจำนวน 18,438 คนใน Women's Health Study ซึ่งบริโภคนมที่มีไขมันสูงลดความเสี่ยงที่จะมีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนได้ถึง 8 เปอร์เซนต์

          แม้ไม่ชัดเจนว่าไขมันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ แต่คนที่กินผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูงจะมีแคลอรี่เพียงพอและจะไม่รู้สึกหิวจนต้องการแคลอรี่เพิ่มเติมจากของหวาน นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่าไขมันในนมอาจเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายน้ำตาลจากอาหาร นอกจากนี้จุลินทรีย์จากชีสที่มีไขมันสูงอาจช่วยปรับระดับการตอบสนองต่ออินซูลินและลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

          อย่างไรก็ตาม ผลจากการวิจัยยังเป็นข้อมูลเบื้องต้นและไม่ควรใช้เป็นแนวทางในการรับประทานอาหาร แต่เราควรรับประทานอาหารให้หลากหลายในปริมาณที่พอดี


ที่มา: Time

การนอนดึกตื่นสายในวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นอันตรายต่อหัวใจ


          เพื่อน ๆ เป็นกันหรือเปล่าครับ เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์เราก็จะออกไปลัลลายามค่ำคืน ลืมเรื่องการนอนตั้งแต่หัวค่ำซะ เพราะวันรุ่งขึ้นก็คือวันหยุดที่จะนอนตื่นสายแค่ไหนก็ได้ คิดว่าเพื่อน ๆ หลายคนก็น่าจะเป็นแบบนี้ ซึ่งก็ถือเป็นข่าวร้ายหน่อยที่มีงานวิจัยค้นพบว่าพฤติกรรมนอนดึกตื่นสายในช่วงวันหยุดแบบที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ

          ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนเรียกรูปแบบการนอนดึกตื่นสายเฉพาะช่วงวันหยุดว่า "Social Jet Lag" หรือก็คือการที่นาฬิกาในร่างกายไม่ตรงกับรูปแบบการนอนเป็นประจำอันเป็นผลมาจากกิจกรรมทางสังคม

          จากการสอบถามคนในช่วงอายุ 22 - 60 ปีประมาณ 1,000 คน เกี่ยวกับระยะเวลาการนอนในวันธรรมดากับวันหยุดสุดสัปดาห์และสุขภาพโดยรวม นักวิจัยพบว่ารูปแบบการนอนดังกล่าวเชื่อมโยงกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะซึมเศร้า และปัญหาด้านสุขภาพอื่น ๆ โดยเมื่อเราเลื่อนการนอนออกไปหนึ่งชั่วโมงจะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ 11 เปอร์เซ็นต์
 
          คุณ Sierra Forbush ผู้ช่วยวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Arizona กล่าวว่า Social Jet Lag ส่งผลให้มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ รู้สึกอ่อนล้า และอารมณ์ไม่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิจัยได้ยังได้พบว่า Social Jet Lag ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
 
          ด็อกเตอร์ Alon Avidan ผู้อำนวยการของ UCLA Sleep Disorders Center ให้ความเห็นจากงานวิจัยชิ้นนี้ว่าไม่ใช่แค่การนอนหลับที่มีความสำคัญต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องไปถึงการนอนให้ตรงตามเวลาในร่างกายอีกด้วย
 
 
ที่มา: Cbsnews
 
 

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดให้ผู้ใช้เพิ่มข้อมูลสถานที่ใน Google Maps


          ปกติเวลาเราไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ เราก็ไม่ต้องกังวลถึงวิธีเข้าไปยังสถานที่นั้น ๆ ไม่ว่าจะมีบันไดหรือลิฟต์ เราก็แค่เดินเข้าไป แต่สำหรับผู้พิการกลับเป็นปัญหามากกว่า บางสถานที่ที่ไม่มีลิฟต์ไว้อำนวยความสะดวกอาจจะทำให้ผู้พิการไม่สามารถจะเข้าไปถึงสถานที่แห่งนั้นได้ ครั้นจะรอให้ Google อัปเดตข้อมูลให้ก็คงจะไม่ได้ ทาง Google จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ผู้ใช้งานสามารถใส่ข้อมูลการเข้าถึงสถานที่ใน Google Map ได้เองเลย


          ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานแบ่งปันข้อมูลสถานที่ระหว่างผู้ใช้งานด้วยกันเองได้ ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำ เมื่อเราต้องการเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่หรือต้องการเพิ่มข้อมูลการเข้าถึงก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เราเปิดแอปพลิเคชัน Google Maps บนอุปกรณ์แอนดรอยด์เลือกเมนู "Your contributions" จากเมนูหลักจากนั้นแตะ "Uncover missing info" แผนที่จะแสดงสถานที่รอบตัว ซึ่งเราสามารถเลือกสถานที่เพื่อใส่รายละเอียดข้อมูลได้


          เมื่อเราต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมรวมไปถึงวิธีการเข้าถึงของสถานที่นั้น ๆ ก็เพียงแค่ค้นหาสถานที่ใน Google Search หรือใน Google Maps จากนั้นก็เปิดดูข้อมูลของสถานที่ เราก็จะเห็นรายละเอียดของสถานที่นั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้พิการทราบวิธีเข้าถึงสถานที่ได้ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไป นอกจากนี้การที่เราใส่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เพิ่มเติมก็จะทำให้เราได้แต้มสะสม ยิ่งสะสมแต้มได้เยอะเลเวลของเราก็จะเพิ่มขึ้น ราวกับเป็นเกม RPG เลยทีเดียว

          ด้วยฟีเจอร์นี้ทำให้มีสถานที่ที่ได้รับการเพิ่มข้อมูลจากผู้ใช้มากถึง 7 ล้านแห่งทั่วโลกแล้ว หากจะรอให้ทาง Google ไล่อัปเดตสถานที่ทั่วโลกคงใช้เวลานานมาก การที่เปิดให้ผู้ใช้ใส่ข้อมูลกันเองจะช่วยลดเวลาได้เป็นอย่างมากและข้อมูลยังมีความถูกต้องอีกด้วย


ที่มา: Blog Google


วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดตัว Blocks เครื่องมือสร้างวัตถุสามมิติสำหรับ AR และ VR


          ในการสร้างสรรค์เนื้อหาของ AR และ VR เราจำเป็นต้องสร้างวัตถุสามมิติ ซึ่งการสร้างโมเดลสามมิติไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อเป็นการช่วยเหลือนักพัฒนา Google จึงได้สร้าง Blocks ซึ่งเป็นแอปพลิเคชัน VR สำหรับ HTC Vive และ Oculus Rift ที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างวัตถุสามมิติที่สวยงามได้อย่างรวดเร็ว


          ตามที่ได้กล่าวไว้ การสร้างโมเดลสามมิติไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เครื่องมือใหม่ตัวนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย แม้คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การสร้างแบบจำลองมาก่อนก็สามารถใช้งานได้ โดยเราจะรู้สึกเหมือนกำลังเล่นบล็อคของเล่นสำหรับเด็กมากกว่าการใช้งานซอฟต์แวร์สร้างแบบจำลองสามมิติ

          เมื่อสร้างโมเดลเสร็จแล้วเราก็สามารถ export ออกมาเป็นไฟล์ OBJ เพื่อเอาไปใช้ในแอปพลิเคชัน AR และ VR นอกจากนี้ก็ยังสามารถแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ได้ดูเป็นแรงบันดาลใจผ่านเว็บ VR Google ได้อีกด้วย


ที่มา: Blog Google