วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

นาซาเปิดเว็บใหม่สำหรับเรียกดูภาพอวกาศอันสวยงาม


          ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีก้าวล้ำไปมาก อยากจะได้อะไรก็สามารถค้นหาเอาได้จากในอินเตอร์เน็ต ต่างจากสมัยก่อนที่เวลาจะทำรายงานทีก็ต้องเข้าห้องสมุดอย่างเดียว (เด็กสมัยนี้คงไม่ได้สัมผัสความรู้สึกที่ต้องเข้าไปนั่งหาข้อมูลในห้องสมุดแล้วสินะ .....แก่ซะแล้วเรา) ซึ่งถ้าเราอยากได้รูปอวกาศสวย ๆ สักรูปนึงไปทำเป็นพื้นหลังคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือก็คงไม่ยาก เพราะตอนนี้ทางนาซาได้เปิดตัวเว็บใหม่ที่ใช้ค้นหารูปภาพทางด้านอวกาศเอาไว้เป็นตัวเลือกในการค้นหาแล้ว (ถ้าเข้าไปหารูปกาแล็กซี่ใน google เดี๋ยวจะได้รูปมือถือติดมาด้วย ฮา)


          NASA Image and Video Library คือชื่อของเครื่องมือที่เก็บรวบรวมรูปภาพ เสียง และวิดีโอของนาซาไว้มากกว่า 140,000 ไฟล์ โดยในหน้าแรกจะมี tab "Newest Uploads" ที่จะแสดงภาพอัพโหลดล่าสุดและ tab "Most Popular" ที่จะแสดงภาพที่มีคนดูมากที่สุด เมื่อคลิ๊กเลือกภาพแล้วมีข้อมูลของภาพพร้อมทั้งปุ่มดาวน์โหลด และเว็บยังทำการปรับขนาดของรูปภาพให้เข้ากับอุปกรณ์ที่ทำการดาวน์โหลดให้โดยอัตโนมัติอีกด้วย

          หนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้เว็บนี้พิเศษกว่าการหารูปจากใน google ก็คือคำประกาศจากทางนาซาที่บอกว่า "เว็บนี้เป็นเว็บไซต์ที่จะมีการเพิ่มไฟล์ภาพ เสียง และวิดีโอใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง" นั่นเอง .....ทีนี้เราก็จะมีช่องทางที่จะสามารถหารูปทางอวกาศสวย ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกช่องทางแล้ว


ที่มา: Sciencealert.com


วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

นาซาทดสอบหุ่นยนต์สำรวจแบบพับได้สำหรับภารกิจบนดาวอังคาร


          ในการสำรวจดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลแสนไกล สิ่งที่จำเป็นคือหุ่นยนต์สำรวจที่ถูกออกแบบมาให้สามารถเดินทางไปบนดาวแห่งนั้นเพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ส่งกลับมายังโลก ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าหุ่นยนต์สำรวจนั้นจะต้องเดินทางไปบนสภาพเส้นทางที่ขรุขระหรือคับแคบได้ ซึ่งทางนาซาก็กำลังพัฒนาหุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็กที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ และอาจจะใช้เป็นหุ่นยนต์สำหรับสำรวจดวงดาวในอนาคตอีกด้วย


          Pop-Up Flat Folding Explorer Robot (เรียกสั้น ๆ ว่า PUFFER) หรือ หุ่นสำรวจแบบพับเก็บได้ สามารถพับล้อเก็บหรือกางล้อออก ซึ่งเหมือนกับการพับกระดาษโอริกามิของญี่ปุ่น และมีขนาดเล็กประมาณฝ่ามือของคน แต่เห็นเล็ก ๆ แบบนี้ก็เล็กพริกขี้หนูนะ เพราะเจ้าหนูนี่มีความสามารถในการปีนขึ้นไปบนเนินเขาสูงชันและสามารถเดินทางได้ 624.84 เมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง เรียกได้ว่าถึงจะตกลงไปในรอยแยกหรือหลุมอุกกาบาตก็ยังสามารถปีนกลับขึ้นมาได้ (ถ้าแบตเตอรี่ไม่หมดซะก่อนนะ ฮา)

          จากการออกแบบให้มีน้ำหนักเบา PUFFER มีแค่สองล้อที่สามารถพับไปทั่วตัวรถเพื่อให้สามารถเก็บได้ในพื้นที่จำกัดหรือนอนราบได้ นอกจากนี้นาซายังได้ออกแบบล้อออกมาเป็นพิเศษเรียกว่า "Skittering Walk" ซึ่งสามารถช่วยให้ตัวรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างไม่ลื่นไถล

          เจ้าหนูคันนี้ถูกนำไปทดสอบในสถานที่ที่มีสภาพคล้ายกับบนดาวอังคารอย่าง Rainbow Basin ที่ทะเลทรายในแคลิฟอร์เนีย และถูกทดสอบในหิมะบน Mount Erebus ภูเขาไฟที่อยู่ในแอนตาร์กติกา ซึ่งขั้นตอนต่อไปนักวิทยาศาสตร์ของนาซาจะติดตั้งอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องมือทดสอบตัวอย่างน้ำในอินทรีย์วัตถุ เป็นต้น

          นาซามีแผนจะส่งโรเวอร์ไปดาวอังคารในช่วงฤดูร้อนของปี 2563 และคาดว่าจะถึงที่หมายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป โดยเป้าหมายเพื่อค้นหาสัญญาณของชีวิตในอดีต ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถเจาะเข้าไปในโขดหินและเก็บตัวอย่างกลับมา ถ้านาซาเตรียม PUFFER พร้อม เจ้าหนูนี่ก็จะได้ร่วมปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย


ที่มา: Computerworld.com , Nasa.gov


วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560

Google Maps เพิ่มความสามารถแชร์สถานที่แบบเรียลไทม์


          เวลานัดเจอเพื่อน ๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเพื่อนบางคนมาช้า ซึ่งบางครั้งเราก็อยากจะรู้ตำแหน่งของเพื่อนคนนั้นว่ามาถึงแถวไหนแล้ว หรือไม่เราก็อาจจะอยากรู้ตำแหน่งของคนสำคัญว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน ถ้าทั้งคู่ใช้มือถือแอนดรอยด์เหมือนกันก็จะหมดปัญหา เพราะทาง Google ได้ปล่อยแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Trusted Contacts (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) ซึ่งสามารถแชร์สถานที่แบบเรียลไทม์ให้อีกฝ่ายได้ แต่ปัจจุบัน (24 มีนาคม 2560) เจ้าแอปพลิเคชันตัวนี้เปิดให้ใช้งานเฉพาะในแอนดรอยด์เท่านั้น ถ้าอีกฝ่ายเป็น iOS ก็จะไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันนี้ได้ .....แล้วจะทำยังไงดีล่ะ


          เมื่อวานซืน (22 มีนาคม 2560) Google ได้ประกาศเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแอปพลิเคชัน Google Maps ทำให้สามารถแชร์สถานที่แบบเรียลไทม์ได้แล้ว


          วิธีแชร์ก็ง่าย ๆ แค่เพียงเลื่อนแถบเมนูด้านข้างแล้วกดที่เมนู "Share location" จากนั้นก็เลือกคนที่ต้องการจะแชร์และเวลาที่แชร์ เพียงแค่นี้ตำแหน่งของเราก็จะไปปรากฏในแผนที่ของอีกฝ่ายแล้ว


          และถ้าเรากำลังใช้ Google Maps นำทางอยู่ เราก็ยังสามารถแชร์ให้อีกฝ่ายติดตามเส้นทางที่เรากำลังเดินทางอยู่ได้จนกว่าเราจะไปถึงที่หมายอีกด้วย

          ฟีเจอร์ Location sharing นี้กำลังจะเปิดให้ใช้งานได้ทุกคนในอีกเร็ว ๆ นี้ หลังจากนี้ทุกคนก็จะรู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้อย่างสะดวกและง่ายดาย


ที่มา: Blog Google


วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

แอปพลิเคชัน Gmail สามารถใช้รับ-ส่งเงินได้แล้ว


          สำหรับผู้ใช้แอนดรอยด์แล้ว แอปพลิเคชันรับ-ส่งอีเมลที่ติดมากับโทรศัพท์ตั้งแต่แรกแล้วก็คงไม่พ้น Gmail ซึ่งปัจจุบันแอปพลิเคชันนี้ไม่ใช่ทำได้แค่รับหรือส่งอีเมลอย่างเดียวแล้ว เพราะทาง Google ได้อัพเกรดแอปพลิเคชัน Gmail ให้สามารถรับหรือส่งเงินได้แล้ว


          วิธีใช้งานก็ง่าย ๆ เพียงแค่กดตรงเมนูแนบไฟล์แล้วเลือกว่าจะส่งหรือร้องขอเงิน


          ส่วนวิธีรับเงินก็เพียงแค่เปิดอีเมลขึ้นมาแล้วกดรับเงินโดยที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชันจ่ายเงินอื่น ๆ เลย พอกดรับเงิน เงินก็จะถูกโอนเข้าไปยังบัญชีธนาคารให้อัตโนมัติโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

          พีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานทั้งในแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์แอนดรอยด์และบนเว็บ.....เป็นไงบ้างละครับ สะดวกดีใช่ม่ะ.....แต่อย่าเพิ่งรีบดีใจไป เพราะว่าตอนนี้ทาง Google เปิดให้ใช้งานได้เฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐฯเท่านั้น ส่วนประเทศไทย.....คงจะไม่ได้ใช้ล่ะมั้ง (ฮา)


ที่มา: Blog Google


วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

Google ปล่อย Android O เวอร์ชั่นทดสอบสำหรับนักพัฒนาให้ลองโหลดไปเล่นแล้ว


          เมื่อคืนทาง Google ได้ปล่อย Android O เวอร์ชั่น DP1 (Developer Preview 1) ออกมาให้นักพัฒนาเอาไปทดสอบเล่นแล้ว ซึ่งเวอร์ชั่น DP1 นี้จะยังไม่เสถียรและอาจมีบั๊กจนไม่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยตอนนี้ทาง Google ยังไม่เปิดเผยว่าเวอร์ชั่น O จะใช้ชื่อว่าอะไร แต่ก็มีใบ้ ๆ มาก่อนหน้านี้ว่าอาจจะใช้ชื่อว่า Oreo ก็ได้ (ตามข่าวนี้) ซึ่งก็ต้องรอดูรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Google I/O ที่กำลังจะจัดขึ้นในวันที่ 17 - 19 พฤษภาคม 2560 อีกที

          เป็นเรื่องธรรมดาของการอัพเกรดเวอร์ชั่นใหม่ที่จะต้องมีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเจ้า Android O เวอร์ชั่น Developer Preview เองก็มีอะไรหลายอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามา เช่น

Background limits: จำกัดการรับ broadcast, background service และ location update ของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ อ่านรายละเอียดเพิมเติ่มได้ ที่นี่ และ ที่นี่

Notification channels: เปิดให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการแจ้งเตือนและสามารถแบ่งการแจ้งเตือนเป็นหมวดหมู่ได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

Autofill APIs: อนุญาตให้ผู้ใช้เลือกแอปพลิเคชันที่จะให้เติมข้อมูลอัตโนมัติเพื่อให้ง่ายในการกรอกข้อมูล นอกจากนี้ฟีเจอร์ยังเปิดให้นักพัฒนาสามารถนำไปใช้งานได้อีกด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

PIP for handsets and new windowing features: โหมด Picture in Picture (PIP) คือโหมดการแบ่งหน้าจอแบบพิเศษทำให้ผู้ใช้สามารถเล่นวิดีโอในขณะที่สามารถทำอย่างอื่นร่วมไปด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

Font resources in XML: รองรับการใช้งาน font จาก XML layout ทำให้นักพัฒนาสามารถใส่ font ลงไปในแอปพลิเคชันได้ อ่านรายละเอียดเพิมเติ่ม

Adaptive icons: รองรับการแสดงไอคอนในรูปทรงต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ และไอคอนยังมีการเคลื่อนไหวตอบโต้เวลาเรียกใช้งาน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

Wide-gamut color for apps: แอปพลิเคชันสามารถแสดงสีได้ตามประสิทธิภาพของหน้าจอ เช่น แอปพลิเคชันจะแสดงผลแบบโคนสีกว้างถ้าหน้าจอรองรับการแสดงผลแบบโคนสีกว้าง

Connectivity: รองรับการส่งสัญญาณเสียงคุณภาพสูงผ่าน Bluetooth และเพิ่มฟีเจอร์ Wi-Fi Aware หรือ Neighbor Awareness Networking (NAN) เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ด้วย Wi-Fi โดยไม่ต้องผ่าน Internet access point

Keyboard navigation: เพิ่ม "ลูกศร" และ "ปุ่มแท็บ" ลงในคีย์บอร์ด

AAudio API for Pro Audio: API ใหม่สำหรับส่งสัญญาณเสียงคุณภาพสูง-คลื่นรบกวนต่ำผ่านการสตรีม

WebView enhancements: WebView ใช้ multi-process แสดงผล content ทำให้มีความปลอดภัยสูงขึ้น รองรับการแครชและข้อผิดพลาด

Java 8 Language APIs and runtime optimizations: รองรับ Java Language APIs และปรับปรุง runtime ให้ทำงานเร็วขึ้นสองเท่า


          ตามแผนที่วางไว้ Android O จะเสร็จสมบูรณ์พร้อมปล่อยให้ทุกคนได้ลิ้มลองความอร่อยใน Q3 หรือไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ (ช่วงเดือน มิถุนายน ถึง สิงหาคม) ในตอนนี้อุปกรณ์ที่สามารถดาวน์โหลดขนมชิ้นนี้มาลองกินเล่นก่อน ได้แก่ Nexus 5X, Nexus 6P, Nexus Player (Android TV), Pixel, Pixel XL และ Pixel C ซึ่งเพื่อน ๆ ที่มีอุปกรณ์เหล่านี้สามารถดาวน์โหลดมาเล่นก่อนได้จาก Developer Android


ที่มา: Android Developers Blog


วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

รัฐบาลสหรัฐต้องการให้ NASA ส่งมนุษย์ไปดาวอังคารภายในปี 2576


          ท่าทางความฝันที่จะส่งมนุษย์ไปเยือนดาวอังคารคงจะเป็นจริงแน่แท้แล้ว เมื่อสภาคองเกรสตัดสินใจให้อำนาจและเงินทุนแก่องค์การนาซ่าเป็นจำนวนเงิน 19.5 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 688 พันล้านบาท) สำหรับแผนการระยะยาวในภารกิจนำพามนุษยชาติมุ่งสู่ดาวอังคารภายในปีค.ศ. 2033 (หรือปีพ.ศ. 2576) โดยทางสภาคองเกรสขอให้นาซ่าพัฒนา roadmap หรือแนวทางปฏิบัติที่จะต้องส่งก่อนวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560


          พูดถึงแนวทางปฏิบัติแล้ว ทางนาซาเองก็มีวางแผนสำหรับการเดินทางสู่ดาวอังคารไว้อยู่แล้ว โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ

ระดับ ช่วงเวลา แผนดำเนินการ
Earth Reliant ปัจจุบัน - กลางปี 2563
  • มุ่งเน้นไปที่การวิจัยบนสถานีอวกาศนานาชาติ พัฒนาระบบยังชีพในอวกาศ
  • เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอวกาศเป็นระยะเวลานาน (เช่น ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปในอวกาศอย่างไร วิธีการรักษาสุขภาพในอวกาศ เป็นต้น)
Proving Ground ปี 2561 - ปี 2573
  • ปฎิบัติภารกิจในเขตดวงจันทร์ (cislunar space) เป็นการทดสอบความสามารถในการอาศัยและทำงานที่ดาวอังคาร
  • ตรวจสอบความพร้อมของดาวอังคาร
  • ทดสอบการทำงานร่วมกันของมนุษย์และหุ่นยนต์
Earth Independent ปัจจุบัน - ปี 2576 และต่อไป
  • วางเส้นทางสู่ดาวอังคาร
  • ทดลองส่งหุ่นยนต์ไป-กลับ
  • ส่งมนุษย์ไปโคจรรอบดาวอังคารในต้นปี 2573

          ตามแผนที่ทางนาซาวางไว้แบบนี้ (อ่านเนื้อหาแผนแบบเต็ม ๆ ได้ ที่นี่ ) น่าจะทำให้นาซาสามารถกำหนด roadmap และตอบกลับสภาคองเกรสได้ในอีกไม่นานมากนัก

          แต่กระนั้นนาซาก็ไม่ควรจะชักช้า เพราะบริษัท SpaceX โดยคุณ Elon Musk เองก็ได้วางแผนจะสร้างอนานิคมบนดาวอังคาร และได้กำหนดแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมนุษย์ไปลงจอดบนดาวอังคารได้ในปี 2568 (เร็วกว่าของนาซาอีก) ด้วยจรวดแบบ reuse ตามในคลิปข้างล่าง
นอกจากนี้ SpaceX ยังมีกำหนดการจะส่งมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์ในปี 2561 (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) อีกด้วย

          เห็นการแข่งขันส่งมนุษย์ไปดาวอังคารแบบนี้ ในอนาคตดาวอังคารอาจจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของมนุษยชาติก็ได้ และโดยส่วนตัวแล้วก็หวังว่าจะมีชีวิตยืนยาวพอที่จะได้เห็นวันนั้นล่ะนะครับ


ที่มา: Sciencealert.com
ภาพจากหนังเรื่อง The Martian กู้ตาย 140 ล้านไมล์


วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

High-Intensity Interval Training (HIIT) อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาความอ่อนเยาว์ของเซลล์


          งานวิจัยชิ้นใหม่พบว่า การออกกำลังกายแบบ High-Intensity Interval Training เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการช่วยชะลอวัย .....เพื่อน ๆ อาจจะสงสัยแล้วว่าเจ้า High-Intensity Interval Training มันคืออะไรกัน? High-Intensity Interval Training หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า HIIT ก็คือการออกกำลังกายแบบเข้มข้นสูงเป็นช่วง ๆ หรือก็คือการฝึกแบบเร็วและหนักสลับการฝึกแบบช้าภายในเวลาที่กำหนดนั่นเอง (ยกตัวอย่างเช่นการวิ่ง วิ่งเต็มสปีด 200 เมตรแล้วจากนั้นก็เปลี่ยนมาวิ่งเบา ๆ อีก 100 เมตร ทำแบบนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ เป็นต้น)

          นักวิจัยทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครชาย 36 คน หญิง 36 คน ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ช่วงอายุ คือ วัยรุ่น 18-30 ปี และผู้สูงอายุ 65-80 ปี โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานแบบ HIIT, กลุ่มที่สองออกกำลังกายแบบ Weight Training หรือก็คือออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน (เช่น ยกดัมเบล เป็นต้น) และกลุ่มที่สามออกกำลังกายแบบผสมทั้ง 2 แบบ ซึ่งใช้เวลาศึกษาทั้งหมด 12 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะนำผลการสร้างกล้ามเนื้อและอินซูลินที่วัดได้จากอาสาสมัครมาวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ออกกำลังกายเลย

          ผลปรากฏว่า การออกกำลังกายแบบ HIIT ให้ประโยชน์มากที่สุดในระดับโมเลกุล โดยอาสาสมัครที่ออกกำลังกายแบบ HIIT ในกลุ่มวัยรุ่นมีจำนวนไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) เพิ่มขึ้น 49% และในกลุ่มผู้สูงอายุพบว่ามีจำนวนไมโทคอนเดรียเพิ่มมากขึ้นถึง 69% ซึ่งเจ้าไมโทคอนเดรียนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นโรงงานผลิตพลังงานให้กับเซลล์ (Cell) โดยการย่อยสลายน้ำตาลกลูโคสให้กลายเป็นพลังงาน และเมื่อเราอายุมากขึ้นกระบวนการเหล่านี้ก็จะทำงานช้าลง นำไปสู่ความเสียหายและความผิดปกติของเซลล์ แต่จากการศึกษานี้พบว่าไมโทคอนเดรียมีจำนวนมากขึ้น ทำให้เซลล์ของอาสาสมัครผู้สูงอายุเริ่มสร้างพลังงานในอัตราที่ใกล้เคียงกับเซลล์ของวัยรุ่น นอกจากนี้การฝึกแบบ HIIT ยังช่วยในการปรับระดับของอินซูลิน (Insulin) อีกด้วย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้แม้ว่าจะไม่ได้ผลดีเท่าการฝึกแบบ Weight Training ก็ตาม

          แม้ว่าจะศึกษาในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กแต่ผลการวิจัยก็มีความสำคัญและช่วยให้เข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจำกัดความพิการและโรคต่าง ๆ (เช่น โรคเบาหวาน) เมื่อมนุษย์เราแก่ขึ้น คุณ Sreekumaran Nair หนึ่งในทีมนักวิจัยกล่าวว่า "ไม่มียาใด ๆ ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้ได้"

          ถึงการออกกำลังกายจะไม่ช่วยรักษาร่างกายให้มนุษย์เราอยู่ยงคงกระพันไม่แก่เฒ่า แต่การออกกำลังกายก็ช่วยสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ทนทานต่อเชื้อโรคและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงบ่อย (แต่ก็ระวังด้วยนะ ถ้าหักโหมออกกำลังกายมากเกินไป เดี๋ยวร่างกายจะพังเอาได้ ฮา) เพราะงั้นหากเพื่อน ๆ ต้องการชะลอวัยให้หน้าดูเด็กและมีร่างกายแข็งแรงแล้วละก็...มาออกกำลังกายกันเถ้อออ!


ที่มา: Sciencealert.com


วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

MyAndroid เว็บปรับแต่งหน้าจอมือถือ Android


          ปัจจุบันมือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นมือถือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากความหลากหลายของผู้ผลิตและราคาที่มีตั้งแต่รุ่นถูกหลักพันไปจนถึงรุ่นแพงหลักหมื่น นอกจากนี้มือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ยังอนุญาตให้เราปรับแต่งมือถือได้ตามใจชอบ จึงทำให้นักพัฒนาคิดค้นและสร้างสรรค์แอปพลิเคชันสำหรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอให้สวยงามออกมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชันเปลี่ยนไอคอน แอปพลิเคชันประเภทวิดเจ็ต หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับเปลี่ยนธีมมือถือ ซึ่งบางทีก็มีเยอะไปนะ...เยอะจนไม่รู้ว่าจะปรับแต่งหน้าจอแบบไหนให้เหมาะสมกับตัวเราดี (ฮา) แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ Google มีทางออกเสมอ (ตามที่ว่ากันว่า "ไม่รู้อะไรให้ถามอากู๋" ฮา)


          Google เปิดเว็บไซต์ใหม่ #myAndroid ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการปรับแต่งมือถือให้เหมาะสมกับตัวเรา วิธีใช้งานก็ง่าย ๆ แค่เพียงเลือกตัวเลือกที่แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเรา เช่น สีแบบฉูดฉาดหรือสีแบบเรียบ, มีการเคลื่อนไหวหรือไม่มีการเคลื่อนไหว ฯลฯ เป็นต้น จากนั้นเว็บก็จะประมวลผลและเลือกรูปแบบหน้าจอมือถือที่ตรงกับความชอบและการใช้งานของตัวเราออกมาให้ พร้อมทั้งมีลิงค์ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสำหรับปรับแต่งหน้าจอมือถือมาให้อีกด้วย .....เท่านี้เราก็จะได้หน้าจอมือถือสวย ๆ ที่ไม่เหมือนใครแล้ว แถมยังตรงกับสไตล์การใช้งานอีกด้วย จะรอช้าอยู่ไย เข้าไปลองเล่นกันได้ที่ #myAndroid เล้ยยยยย


ที่มา: #myAndroid , Android.com/myandroid


วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560

[ประชาสัมพันธ์] OWASP Thailand Meeting : OWASP Top Ten Proactive Controls 2016 ตอนที่ 2

          วันนี้ผมนำงานสัมนาดีประจำเดือนมีนาคมมาฝาก "OWASP Thailand Meeting : OWASP Top Ten Proactive Controls 2016 ตอนที่ 2" งานสัมนาสำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชั่นซึ่งเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย โดยจะพูดถึงลิสต์เทคนิคด้านความปลอดภัยประจำปี 2559 ซึ่งทาง OWASP ได้จัด 10 อันดับช่องโหว่ที่พบได้บ่อยเพื่อป้องกันการถูกแฮกจากผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งในงานสัมนาครั้งนี้จะพูดถึงความปลอดภัย 6 อันดับสุดท้าย (ต่อจากงานครั้งที่แล้ว) ซึ่งได้แก่
  1. Implement Identity and Authentication Controls
  2. Implement Appropriate Access Controls
  3. Protect Data
  4. Implement Logging and Intrusion Detection
  5. Leverage Security Frameworks and Libraries
  6. Error and Exception Handling

          งานสัมนา "OWASP Thailand Meeting" ภายใต้หัวข้อ "OWASP Top Ten Proactive Controls 2016 ตอนที่ 2" ครั้งนี้จัดโดย OWASP Thailand ที่สำคัญคือ งานสัมนาครั้งนี้ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ (ยกเว้นค่าเดินทาง ฮะฮะ)

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560
เวลา 18:00 - 20:30 น.
สถานที่ ชั้นที่ 16 ห้อง 1601 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถนนวิภาวดีรังสิต แผนที่
ลงทะเบียนได้ที่ Register Link

Agenda

18.00 – 18.45 น. ลงทะเบียน
18.45 – 19.00 น. กล่าวต้อนรับ โดย OWASP Thailand Chapter Leader
19.00 – 20.00 น. บรรยายช่วงแรก ในหัวข้อ "OWASP Top Ten Proactive Controls 2016 ตอนที่ 1 " โดยคุณนฤดม รุ่งศิริวงศ์
20.00 – 20.10 น. พักการบรรยาย
20.10 – 21.00 น. บรรยายช่วงที่สองในหัวข้อ "OWASP Top Ten Proactive Controls 2016 ตอนที่ 1 " โดยคุณนฤดม รุ่งศิริวงศ์
21.00 – 21.10 น. กล่าวปิดงาน โดย OWASP Thailand Chapter Leader และถ่ายภาพร่วมกัน


ที่มา:  OWASP Thailand Group



วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

นาซาต้องการสร้างสนามแม่เหล็กยักษ์เพื่อให้ดาวอังคารสามารถอยู่อาศัยได้


          "นาซาต้องการสร้างสนามแม่เหล็กยักษ์เพื่อให้ดาวอังคารสามารถอยู่อาศัยได้" อ่านหัวข้อแล้วเพื่อน ๆ บางคนอาจจะสงสัยว่า "สนามแม่เหล็กเกี่ยวอะไรกับการอยู่อาศัยหว่า" ใช่ไหมครับ (ถึงไม่มีใครสงสัย ผมก็จะเกริ่นบอกก่อนจะเข้าเนื้อข่าวอยู่ดีแหละ ฮา) เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากดวงอาทิตย์อันร้อนแรงของพวกเรา เพราะนอกจากจะเปล่งแสงให้ความอบอุ่นแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ยังใจดีปลดปล่อยกระแสของอนุภาคประจุไฟฟ้าความเร็วสูงออกมาเป็นของแถมให้อีกด้วย ซึ่งเราเรียกเจ้ากระแสของอนุภาคประจุไฟฟ้าที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาทั่วทุกทิศทางนี้ว่า "ลมสุริยะ"


          โดยปกติแล้วลมสุริยะจะไม่ทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเพราะโลกเรามีสนามแม่เหล็กที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของหินหนืดในแก่นโลกชั้นนอกคอยเป็นเกราะปกป้องอยู่ ส่วนดาวอังคารที่ไม่มีการเคลื่อนตัวของหินหนืดแล้วจึงไม่มีสนามแม่เหล็กห่อหุ้ม ลมสุริยะจึงพัดพาชั้นบรรยากาศของดาวอังคารออกไปตามภาพ (ฝั่งซ้ายเป็นภาพของดาวอังคารที่ปราศจากสนามแม่เหล็ก ส่วนฝั่งขวาเป็นภาพของโลกที่ยังปลอดภัยเพราะมีเกราะสนามแม่เหล็กปกป้องอยู่) .....อ่านถึงตรงนี้เพื่อน ๆ ก็คงจะเข้าใจแล้วว่าสนามแม่เหล็กมีความเกี่ยวข้องยังไง

          แม้ว่าปัจจุบันนี้ดาวอังคารอาจจะดูแห้งแล้งแล้วก็หนาวเหน็บ แต่นักวิทยาศาสตร์คิดว่าดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้เคยมีชั้นบรรยากาศหนาเพียงพอที่จะรักษาน้ำให้อยู่ในสภาพของเหลว และมีอากาศอบอุ่นพอที่จะสามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งทางนาซาได้วางแผนจะที่จะนำชั้นบรรยากาศกลับคืนสู่ดาวอังคาร โดยการสร้างสนามแม่เหล็กขนาดยักษ์เอาไว้ปกป้องดาวอังคารจากลมสุริยะเพื่อให้ชั้นบรรยากาศค่อย ๆ ฟื้นกลับคืนมาเองตามธรรมชาติ


          คุณ Jim Green หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของนาซากล่าวว่าให้ทำการสร้าง "artificial magnetosphere (สนามแม่เหล็กเทียม)" ขึ้นในอวกาศระหว่างดาวอังคารและดวงอาทิตย์ เพื่อให้ดาวเคราะห์สีแดงอยู่ภายในอาณาเขตป้องกัน ซึ่งจะช่วยให้ชั้นบรรยากาศที่ค่อย ๆ ฟื้นกลับคืนมาไม่ถูกลมสุริยะพัดพาออกไป และทีมวิจัยคาดว่าเมื่อมีชั้นบรรยากาศหนาขึ้นจะทำให้อุณหภูมิของดาวสูงขึ้นอีก 4 องศาเซลเซียส ซึ่งอบอุ่นเพียงพอที่จะละลายน้ำแข็งคาร์บอนไดออกไซด์ที่ขั้วเหนือ เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นก็จะก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจก (สภาวะที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนาจนขังความร้อนไม่ให้ระบายออกจากดาว) ทำให้น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ

          วิธีนี้ไม่ใช่การ Terraforming (การปรับสภาพดวงดาว) แต่เป็นการปล่อยให้เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ (ที่มนุษย์ลงมือทำก็แค่สร้างสนามแม่เหล็กเทียมเอง ผลลัพธ์ที่เหลือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ) ซึ่งทีมนักวิจัยกำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่ และถ้าวิธีนี้ได้ผลจริง ดาวอังคารก็อาจจะกลายเป็นดาวอาณานิคมของมนุษย์อีกดวง.....ก็เป็นได้ (ฮา)


ที่มา: Sciencealert.com
ภาพจาก: Nasa.gov
อ่านเพิ่มเติม: A future Mars environment for science and exploration (PDF)


วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

SpaceX ประกาศจะส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในปี 2561


          การจะทำธุรกิจทางด้านอวกาศจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ตัวอย่างเช่นการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ จรวดแต่ละลำมีต้นทุนในการผลิตหลายสิบล้านไปจนถึงหลายร้อยล้านเหรียญ และเมื่อปล่อยขึ้นสู่อวกาศก็จะกลายเป็นขยะไปในทันที ถ้าสามารถบรรลุภารกิจได้ตามที่วางแผนไว้ก็อาจจะพอได้ข้อมูลสำคัญจากอวกาศกลับมาบ้าง แต่ถ้าการปล่อยจรวดผิดพลาดก็เท่ากับภารกิจนั้นล้มเหลวไปโดยปริยายและสูญเงินจำนวนมากไปอย่างเปล่าประโยชน์ เปรียบเสมือนเป็นการเอาเงินไปละลายในอวกาศ ซึ่งถ้าพูดถึงภารกิจทางด้านอวกาศ เช่น การสำรวจอวกาศ การส่งจรวดไปอวกาศ การค้นพบดาวใหม่ ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ก็คงจะคิดถึงองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) กันใช่ไหมละครับ แต่จริง ๆ แล้วยังมีบริษัทเอกชนอื่นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านอวกาศอีก

          บริษัท Space Exploration Technologies Corporation หรือที่รู้จักกันในชื่อ SpaceX เป็นบริษัทผลิตยานอวกาศและให้บริการขนส่งอวกาศซึ่งก่อตั้งโดยคุณ Elon Musk (ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal) มหาเศรษฐี (ต้นแบบตัวละครโทนี่ สตาร์คในเรื่องไอรอนแมน) ที่มีต้องการจะค้นคว้าเทคโนโลยีเพื่อทำลายกำแพงขวางกั้นให้บุคคลธรรมดาทั่วไปสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปในอวกาศได้ ซึ่งคุณ Musk ได้คิดต่างออกไป แทนที่จะลงทุนมากมายเพื่อผลิตจรวดใช้แล้วทิ้ง เปลี่ยนเป็นการลงทุนค้นคว้าเทคโนโลยีให้สามารถนำจรวดกลับมาใช้งานใหม่ได้เพื่อลดต้นทุน

          นอกจากจะประสบความสำเร็จในเทคโนโลยีการสร้างจรวดให้สามารถนำกลับมาใช้งานได้ใหม่แล้ว ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 คุณ Musk ยังได้ประกาศข่าวว่าจะทำการส่งมนุษย์ 2 คนไปโคจรรอบดวงจันทร์ โดยนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักทั้งคู่ได้ทำการชำระเงินค่ามัดจำไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเริ่มกระบวนการตรวจสุขภาพและฝึกซ้อมร่างกายภายในปีนี้


          การส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 45 ปีหลังจากภารกิจยาน Apollo ซึ่งภารกิจในครั้งนี้จะทำการส่งมนุษย์ไปบินวนเล่น ๆ รอบดวงจันทร์เท่านั้น ไม่มีการลงจอดที่ดวงจันทร์ (ตามภาพ) โดย SpaceX วางแผนจะทดสอบโดยการส่งจรวด Dragon เปล่า ๆ ไปเชื่อมต่อกับ International Space Station (ISS) หรือสถานีอวกาศนานาชาติ หลังจากนั้นจึงค่อยส่งจรวดบรรทุกคนไปในปี 2561


          นอกจากนี้คุณ Musk และ SpaceX ยังตั้งเป้าจะส่งมนุษย์ไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารให้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สิบปีข้างหน้า (จากคลิปที่เฮียแกวางแผนไว้ มีแต่ขาไปดาวอังคาร แล้วขากลับล่ะ?? สงสัยไปแล้วกะให้อยู่ที่นู่นยาวเลยล่ะมั้ง ฮา) ดังนั้นการส่งคนไปดวงจันทร์ในครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

          หากโลกนี้ปราศจากคนที่มีความคิดบ้าระห่ำนอกกรอบอย่างคุณ Musk บางทีเทคโนโลยีของเราอาจจะไม่พัฒนามาจนถึงขนาดนี้ก็ได้


ที่มา: Futurism.com