การจะทำธุรกิจทางด้านอวกาศจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ตัวอย่างเช่นการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ จรวดแต่ละลำมีต้นทุนในการผลิตหลายสิบล้านไปจนถึงหลายร้อยล้านเหรียญ และเมื่อปล่อยขึ้นสู่อวกาศก็จะกลายเป็นขยะไปในทันที ถ้าสามารถบรรลุภารกิจได้ตามที่วางแผนไว้ก็อาจจะพอได้ข้อมูลสำคัญจากอวกาศกลับมาบ้าง แต่ถ้าการปล่อยจรวดผิดพลาดก็เท่ากับภารกิจนั้นล้มเหลวไปโดยปริยายและสูญเงินจำนวนมากไปอย่างเปล่าประโยชน์ เปรียบเสมือนเป็นการเอาเงินไปละลายในอวกาศ ซึ่งถ้าพูดถึงภารกิจทางด้านอวกาศ เช่น การสำรวจอวกาศ การส่งจรวดไปอวกาศ การค้นพบดาวใหม่ ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ก็คงจะคิดถึงองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) กันใช่ไหมละครับ แต่จริง ๆ แล้วยังมีบริษัทเอกชนอื่นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านอวกาศอีก
บริษัท Space Exploration Technologies Corporation หรือที่รู้จักกันในชื่อ SpaceX เป็นบริษัทผลิตยานอวกาศและให้บริการขนส่งอวกาศซึ่งก่อตั้งโดยคุณ Elon Musk (ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal) มหาเศรษฐี (ต้นแบบตัวละครโทนี่ สตาร์คในเรื่องไอรอนแมน) ที่มีต้องการจะค้นคว้าเทคโนโลยีเพื่อทำลายกำแพงขวางกั้นให้บุคคลธรรมดาทั่วไปสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปในอวกาศได้ ซึ่งคุณ Musk ได้คิดต่างออกไป แทนที่จะลงทุนมากมายเพื่อผลิตจรวดใช้แล้วทิ้ง เปลี่ยนเป็นการลงทุนค้นคว้าเทคโนโลยีให้สามารถนำจรวดกลับมาใช้งานใหม่ได้เพื่อลดต้นทุน
นอกจากจะประสบความสำเร็จในเทคโนโลยีการสร้างจรวดให้สามารถนำกลับมาใช้งานได้ใหม่แล้ว ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 คุณ Musk ยังได้ประกาศข่าวว่าจะทำการส่งมนุษย์ 2 คนไปโคจรรอบดวงจันทร์ โดยนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักทั้งคู่ได้ทำการชำระเงินค่ามัดจำไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเริ่มกระบวนการตรวจสุขภาพและฝึกซ้อมร่างกายภายในปีนี้
การส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 45 ปีหลังจากภารกิจยาน Apollo ซึ่งภารกิจในครั้งนี้จะทำการส่งมนุษย์ไปบินวนเล่น ๆ รอบดวงจันทร์เท่านั้น ไม่มีการลงจอดที่ดวงจันทร์ (ตามภาพ) โดย SpaceX วางแผนจะทดสอบโดยการส่งจรวด Dragon เปล่า ๆ ไปเชื่อมต่อกับ International Space Station (ISS) หรือสถานีอวกาศนานาชาติ หลังจากนั้นจึงค่อยส่งจรวดบรรทุกคนไปในปี 2561
นอกจากนี้คุณ Musk และ SpaceX ยังตั้งเป้าจะส่งมนุษย์ไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารให้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สิบปีข้างหน้า (จากคลิปที่เฮียแกวางแผนไว้ มีแต่ขาไปดาวอังคาร แล้วขากลับล่ะ?? สงสัยไปแล้วกะให้อยู่ที่นู่นยาวเลยล่ะมั้ง ฮา) ดังนั้นการส่งคนไปดวงจันทร์ในครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
หากโลกนี้ปราศจากคนที่มีความคิดบ้าระห่ำนอกกรอบอย่างคุณ Musk บางทีเทคโนโลยีของเราอาจจะไม่พัฒนามาจนถึงขนาดนี้ก็ได้
ที่มา: Futurism.com
0 comments:
แสดงความคิดเห็น